รีวิว All-New Honda CR-V 2013 ขับทดสอบ ซีอาร์วีโฉมใหม่ กรุงเทพ-วังน้ำเขียว Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว All-New Honda CR-V 2013 ขับทดสอบ ซีอาร์วีโฉมใหม่ กรุงเทพ-วังน้ำเขียว

Admin
โดย Admin
โพสต์เมื่อ 09 October 2555

Honda CR-V (Comfortable Runabout Vehicle) ถูกสร้างสรรรค์และพัฒนาเพื่อเป็นยานยนต์ที่ให้ความสะดวกสบาย โดย Generation แรกเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปี 1996 โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานตามความต้องการในชีวิตประจำวันที่ไม่สมบุกสมบันมากนัก และต้องตอบสนองความสะดวกสบาย ง่ายต่อการใช้งาน สอดคล้องกับ Lifestyle ที่เปลี่ยนไป ผลคือ รถยนต์รุ่นนี้นำเสนอความสะดวกสบายไม่ต่างจากรถซีดานของ Honda แต่มาพร้อมกับเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในด้านภาพรวมของตัวรถและประโยชน์ใช้สอย

ส่วน Generation ที่ 2 เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปี 2001 มีการเพิ่มนวัตกรรมที่ล้ำสมัยและเพิ่มความกว้างขวางและความประณีต ซึ่งช่วยให้ CR-V รุ่นนี้มีประโยชน์ใช้สอยและความอเนกประสงค์มากขึ้น ขณะที่ Generation ที่ 3 เปิดตัวในปี 2007 ด้วยสปอร์ตอเนกประสงค์สไตล์รถซีดาน ที่มีการปรับปรุงให้มีกำลังของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น และประหยัดน้ำมัน

สำหรับ CR-V ใหม่ล่าสุดนี้ ถือเป็น Generation ที่ 4 ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่รถยนต์ในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะด้านคุณภาพ ความประณีตในการผลิต และการตอบรับจากลูกค้าอย่างท่วมท้น CR-V ใหม่ ได้รับการออกแบบอย่างยอดเยี่ยมเพื่อนำเสนอสิ่งที่เรียกว่า “เกินความคาดหมาย” ที่ลูกค้ามีความต้องการ โดยพัฒนารายละเอียดภายในห้องโดยสารเพื่อตอบสนองในระดับเดียวกับรถซีดาน ทั้งความสะดวกสบาย คุณภาพ ความนุ่มนวลในการขับขี่และนวัตกรรมที่ทันสมัย

CR-V ใหม่ จึงเป็นยนตรกรรมสปอร์ตอเนกประสงค์ ที่ได้รับการออกแบบใหม่จากด้านหน้าจรดด้านท้ายด้วยดีไซน์ที่เน้นความหรูหรา สง่างามในแบบรถสปอร์ตอเนกประสงค์ SUV แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายเช่นเดียวกับรถซีดาน โดยมากับขุมพลังเครื่องยนต์ i-VTEC ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เป็นเยี่ยม พร้อมการติดตั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สามารถตอบสนองทั้งในด้านความต้องการส่วนบุคคล และความสะดวกสบายควบคู่ไปกับการขับขี่ มีระบบความปลอดภัยที่เหนือระดับ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการผ่านมาตรฐาน EURO 4 และรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 เพิ่มความประหยัดในทุกการใช้งาน

แนวคิดการออกแบบ ฮอนด้า CR-V ใหม่

CR-V ใหม่ ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งคัน ภายใต้แนวคิด Premium Smart SUV เป็นยนตรกรรมที่มีดีไซน์โฉบเฉี่ยว หรูหรา สง่างามและแข็งแกร่งในแบบรถสปอร์ตอเนกประสงค์ ขณะเดียวกันก็ให้

ความสะดวกสบายเช่นเดียวกับรถซีดาน ช่วยยกระดับให้กับรถ SUV ในกลุ่ม Entry-Level ทั้งด้านประโยชน์ใช้สอย และความประณีตในทุกๆ ด้าน เพื่อตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างลงตัว

รูปลักษณ์ภายนอก

จากด้านหน้าจรดด้านท้าย ได้รับการออกแบบใหม่หมดทั้งคันภายใต้แนวคิดที่ต้องการสะท้อนถึง

ความแข็งแกร่งและล้ำสมัยที่เหนือระดับ

• ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ดีไซน์ใหม่ ให้ความรู้สึกสมาร์ท โฉบเฉี่ยว และมีมิติ ขณะที่

การออกแบบกันชนหน้าทั้งหมดมีการผสมผสานเส้นสายบนกันชนให้มีความต่อเนื่องและลื่นไหลช่วยเพิ่มความโดดเด่นสอดคล้องตามหลักอากาศพลศาสตร์

• กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ 3 ชั้นพร้อมคิ้วโครเมียม

• กันชนหน้าพร้อมไฟตัดหมอกรูปวงรีแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ดีไซน์ใหม่ (ยกเว้นรุ่น 2.0S)

• กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวดีไซน์ใหม่ เพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น

• ไฟท้ายและไฟเบรกเป็นแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์แนวตั้งขนานกับแนวเสาหลังคา และมีการปรับปรุงพัฒนาโคมไฟให้ดูมีมิติมากยิ่งขึ้น กันชนท้ายขนาดใหญ่ดีไซน์ใหม่

• เสาอากาศแบบครีบ ช่วยลดสัญญาณรบกวนและช่วยขยายสัญญาณให้แรงขึ้นทั้งการรับสัญญาณคลื่น FM และ AM

• ล้ออัลลอย 5 ก้านขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มสัมผัสแห่งความสปอร์ตและสมรรถนะการขับเคลื่อน (ในรุ่น 2.0S และ 2.0E ใช้ยางขนาด 225/65 R17 ส่วนรุ่น 2.4EL 2WD และ 2.4EL ใช้ยางขนาด 225/60 R18)

การออกแบบภายในห้องโดยสาร

ห้องโดยสารของ CR-V ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดให้เป็นรถที่สะท้อนความพรีเมียมเหนือระดับและล้ำสมัยเหมือนอยู่ในรถซีดาน มีห้องโดยสารที่ใหญ่ที่สุดและเปี่ยมด้วยประโยชน์ใช้สอยมากที่สุด

เบาะนั่งด้านหลังพับจังหวะเดียว (One Motion Seat)

CR-V ใหม่ได้รับการออกแบบพนักพิงหลังของเบาะนั่งด้านหลังให้สามารถพับแบบจังหวะเดียว (One Motion Seat) ด้วยคันโยกที่ติดตั้งอยู่ใกล้กับฝากระโปรงท้าย หรือดึงสายที่ติดตั้งอยู่ที่ด้านข้างของเบาะนั่งด้านหลังก็จะสามารถพับพนักพิงหลังซึ่งแยกด้านเป็นแบบ 60:40 ให้พับเก็บลงโดยอัตโนมัติ และพับลงมาเกือบแบนราบเป็นระนาบเดียวกับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายของรถ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบรรทุกสัมภาระ

ระบบปรับอากาศ

ปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศจะติดตั้งอยู่ที่ตรงกลางของแผงมาตรวัดเพื่อความสะดวกในการใช้งาน

(รุ่น 2.0S เป็นการปรับแบบ Manual ส่วนรุ่น 2.0E, 2.4EL 2WD และ 2.4EL เป็นแบบ Dual Zone Air Condition)

ระบบเครื่องเสียง

CR-V ใหม่ มีการติดตั้งระบบเครื่องเสียง โดยมีวิทยุและเครื่องเล่น CD ที่สามารถรองรับแผ่น CD-R ที่บันทึกไฟล์ WMA และไฟล์ MP3 พร้อมระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วของรถยนต์ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ iPod, Flash Drive ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth (เฉพาะใน CR-V รุ่น 2.0E, 24.EL (2WD) และ 2.4EL)

เทคโนโลยีและความโดดเด่นที่ติดตั้งในรถ

• หน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบอัจฉริยะ i-MID

• ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ (มีเฉพาะรุ่น 2.4EL 2WD และ 2.4EL)

• ระบบช่วยการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน Eco Assist

• โหมดการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน ECON Mode

ระบบขับเคลื่อน

เครื่องยนต์ ในฮอนด้า CR-V ใหม่ มี 2 รุ่น ได้แก่

• เครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ SOHC i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 155 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุดที่ 190 นิวตัน-เมตร (19.4 กก.-ม.) ที่ 4,300 รอบต่อนาที ซึ่งมีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อและขับเคลื่อน 4 ล้อ

• เครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ DOHC i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตัน-เมตร (22.4 กก.-ม.) ที่ 4,300 รอบต่อนาที ซึ่งมีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อและขับเคลื่อน 4 ล้อ

ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ทำงานร่วมกับระบบควบคุมการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ DBW ในการควบคุมการถ่ายทอดกำลังระหว่างเกียร์ในตำแหน่งต่างๆ ให้มีความต่อเนื่องและนุ่มนวล ระบบ Grade Logic Control ควบคุมการทำงานของเกียร์ทำหน้าที่ในการรักษาตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมที่สุดในระหว่างการขับขี่บนเขาเพื่อลดการเปลี่ยนเกียร์ที่ไม่จำเป็น

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Real Time พร้อมระบบ Intelligent Control System

ระบบ Real Time 4WD ได้รับการออกแบบให้มีน้ำหนักเบา และช่วยให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างคุ้มค่า ผู้ขับขี่เพียงกดคันเร่งระบบก็จะทำงานโดยอัตโนมัติในการยึดเกาะและการปีนไต่อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ตัวถัง

ใน CR-Vใหม่ มีการพัฒนาในเชิงวิศวกรรมแบบใหม่หมด เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของตัวถังแบบ Unit-body ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องในการพัฒนาคุณภาพการขับขี่ และการควบคุมรถ เช่นเดียวกับการลดเสียงดังที่จะเล็ดรอดเข้าสู่ห้องโดยสาร และการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ มากมายหลายจุด และแนวเส้นหลังคาที่มีขนาดยาวขึ้นและถูกออกแบบให้เชื่อมต่อเป็นชุดเดียวกับสปอยเลอร์ ช่วยให้ตัวรถดูต่ำลงและมีความ

เพรียวลมมากที่สุดและมีทัศนวิสัยการขับขี่อันยอดเยี่ยม

แชสซีส์

ระบบแชสซีส์ของ CR-V ใหม่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความสนุกสนานในการขับขี่

ความสะดวกสบายและความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสาร โดยใช้ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ

แม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบดับเบิลวิชโบน ทำให้ขยายพื้นที่ของเบาะนั่งด้านหลังและพื้นที่บรรทุกสัมภาระให้มากขึ้น โดยที่ตัวรถยังสามารถตอบสนองทั้งในด้านการบังคับควบคุมที่โดดเด่นและคุณภาพในการขับขี่ ทั้งยังได้ลดน้ำหนักชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือน และการออกแบบให้มีความกะทัดรัด ทำให้น้ำหนักตัวของ CR-V ใหม่เบากว่ารุ่นปี 2011

ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (MA-EPS - Motion Adaptive EPS)

ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (Motion Adaptive Electric Power Steering System : MA-EPS) ทำงานร่วมกับระบบควบคุมการทรงตัว VSA และระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ช่วยผู้ขับขี่สามารถบังคับเลี้ยวได้อย่างแม่นยำในขณะที่เข้าโค้ง หรือขณะที่ขับบนเส้นทางที่เปียกลื่น

มาตรฐานความปลอดภัย

CR-V ใหม่ ทุกคันจะมีการติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น ระบบควบคุมการทรงตัว VSA ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบช่วยออกตัวเมื่ออยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist) ซึ่งเป็นระบบใหม่ใน CR-V โดยเป็นระบบช่วยออกตัวเมื่ออยู่บนทางลาดชัน ป้องกันไม่ให้รถไหลไปด้านหลังขณะที่ผู้ขับขี่ถอนเท้าออกจากแป้นเบรกเพื่อกดคันเร่งเวลาที่จอดติดอยู่บนทางลาดชัน นอกจากนี้ยังมีถุงลมป้องกันการกระแทกด้านข้างสำหรับเบาะคู่หน้า พร้อมระบบตรวจสอบตำแหน่งท่านั่งของผู้โดยสารด้านหน้า (Occupant Position Detection System - OPDS) สำหรับสิ่งที่เหมือนกับรุ่นที่แล้วคือ โครงสร้างตัวถังด้านหน้าที่ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิดโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON ซึ่งจะช่วยกระจายแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการชนด้านหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Review Group Test Drive กรุงเทพ-วังน้ำเขียว

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ ทาง Autospinn ได้รับเชิญให้ไปทดสอบรถยนต์ Honda CR-V รอบสื่อมวลชน โดยมีรถยนต์ Honda CR-V ให้ทดสอบจำนวน 10 คัน มีครบทั้ง 4 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น 2.0 S, 2.0 E, 2.4 EL 2WD, 2.4 EL 4WD สำหรับคันที่ได้รับเลือกให้ขับทดสอบในครั้งนี้ เป็นรุ่น 2.4 EL 2WD สีสีน้ำเงินทไวไลท์ (เมทัลลิก) และได้ขับเป็นมือที่ 3 จากทั้งหมด 4 คน โดยเส้นทางที่ได้ขับนั้นเริ่มจาก วังเวลาเวียนรีสอร์ท วังน้ำเขียว ขับกลับกรุงเทพฯ โดยไปพักรถที่ ปตท. Bypass สระบุรี รวมระยะทางประมาณ 140 กม. โดยสภาพเส้นทางนั้น มีตั้งแต่เขาที่คดเคี้ยวบนเขาใหญ่ เส้นทาง ไฮเวย์ ที่มีการจราจร คล่องตัว ร่วมกับการจราจรปานกลาง เพื่อให้ได้การทดสอบทั้งในส่วนของช่วงล่างและสมรรถนะของกำลังเครื่องยนต์

หลังจากที่เป็นผู้นั่ง มาเป็นระยะทางเกินกว่า 200 กม. ในเบาะตอนหลัง พบว่าเจ้ารถ Honda CR-V ใหม่นี้ ยังคงให้ความสบายเช่นเคย เบาะตรงกลางตอนหลัง สามารถพับลงมาได้เป็นที่เท้าแขน และจะพบกับช่องวางแก้ว ซึ่งวางได้ 2 ใบ เบาะหนังนั้นให้ความนุ่มสบาย รวมถึงที่เท้าแขนตรงประตู เป็นหนังหุ้มแบบ Soft pad ให้ความนุ่มสบายไม่รู้สึกแข็งหรือทำให้ปวดแขน พื้นที่ Leg room กว้างสบาย นั่งเหยียดขาได้สบายแม้ผู้ขับจะตัวสูง องศาของเบาะตอนหลังเอียงกำลังดี สามารถที่จะนอนหลับพักผ่อนได้อย่างสบาย พร้อมด้วยเครื่องปรับอากาศตอนหลัง

เมื่อถึงคราวที่ได้เป็นผู้ขับบ้าง หลังจากที่ได้รับกุญแจ จากพี่คนที่ขับก่อนหน้า ก็ทำการเปิดประตู ด้วยระบบ Keyless ซึ่งสามารถเปิดประตูได้เพียงแค่พกกุญแจอัจฉริยะนี้ติดกับตัวโดยมีระยะไม่เกิน 80ซม. รอบตัวรถ เมื่อเข้ามาในรถแล้วก็ทำการกดปุ่ม Push Start ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของพวงมาลัย เสร็จแล้ว ก็เหมือนเดิม คือปรับเบาะซึ่งเป็นระบบไฟฟ้า กระจกมองข้างไฟฟ้า กระจกมองหลัง และระดับพวงมาลัยที่ปรับได้ 4 ระดับ เมื่อปรับทุกอย่างเหมาะสมพร้อมเดินทางแล้ว ก็เข้าเกียร์ R ถอยหลัง หน้าจอของเครื่องเสียงจะตัดมาเป็นภาพของกล้องมองหลังให้ทันที เพิ่มความสะดวกสบายไม่ต้อง หันหลังไปมองด้านท้าย เครื่องปรับอากาศตอนหน้าแบบอัตโนมัติ สามารถเลือกปรับแยกอิสระได้ซ้าย-ขวา สำหรับ ผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้า ไม่ต้องมาทะเลาะกันเพื่อปรับอุณหภูมิ ด้านขวามือพบปุ่ม ECON สีเขียว รูปใบไม้ เอาไว้ให้เลือกใช้ในยามต้องการขับแบบประหยัดรักษ์โลก และปุ่ม VSA off อยู่ด้านใต้ เพื่อเอาไว้ปิดการทำงานของระบบ VSA สำหรับ คนที่ขับรถอย่างเชี่ยวชาญ ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบช่วยเหลือใดๆ และต้องการสัมผัสอาการของรถอย่างเต็มที่ หน้าจอ MID อยู่ค่อนข้างไกลฝังลึกเข้าไปอยู่ในคอนโซลด้านบน ซึ่งผู้โดยสารหมดสิทธิที่อยากจะปรับเล่น เพราะจะต้องปรับควบคุมจากพวงมาลัยเท่านั้น บนตัวพวงมาลัยมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง Multifunction, ปุ่ม Cruise control, ปุ่มควบคุมหน้าจอ MID และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ด้วยระบบ Bluetooth ซึ่งพวงมาลัย 3 ก้านวงนี้เป็นแบบเดียวกับที่พบใน All-New Honda Civic

ด้านมุมมองทัศนะวิสัย กระจกด้านหน้ารถดูค่อนข้างใหญ่โปร่งตา มุมของฝากระโปรงหน้าทั้ง 2 ฝั่งได้มีการปรับปรุงขึ้น ทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้กับกันชนมากขึ้น กระจกมองข้างมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ตามสไตล์รถใหญ่ มุมมองด้านท้ายนั้นดูจะแคบไปสักเล็กน้อย แต่ก็พอมองเห็นได้ไม่ลำบากนัก และในส่วนที่เป็นมุมอับของรถยนต์ประเภทนี้ ที่หนีไม่ได้ ก็มักจะเป็นมุมตรงบริเวณเสา C ที่หนา และกระจกบานเล็กๆ ที่บริเวณตอนท้ายรถนั้น ดูแทบจะไม่ค่อยช่วยเอาเสียเลย และสำหรับในส่วนของเสียงรบกวนนั้น ถือว่าทำได้ค่อนข้างเงียบดี เสียงลม จะมีมากขึ้นตั้งแต่ 120กม./ชม. เป็นต้นไปซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติเมื่อใช้ความเร็วสูงอยู่แล้ว เสียงเครื่องยนต์ก็ไม่ได้คำรามดังนักถ้าไม่ได้เร่งเครื่องที่รอบสูง แต่เสียงของยางที่บดกับถนนนั้น ยังเล็ดลอดจากข้างล่างห้องโดยสาร เข้ามาให้ได้ยินมากกว่าที่คิดไว้อยู่สักหน่อย

ด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์เบนซิน DOHC i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร ที่ได้พัฒนาปรับปรุงใหม่ให้รอบรับน้ำมัน E85 ให้กำลังสูงสุด 170แรงม้า@6000rpm กับแรงบิดสูงสุด 220Nm@4300rpm ในช่วงจังหวะออกตัว รถดูมีกำลังตามสัดส่วนที่ควรจะเป็น รถออกตัวพุ่งดี ไม่ต้องรอรอบมา ไม่ได้อืดอาดอุ้ยอ้าย กับการที่ต้องแบกร่างกายที่มีน้ำหนักตัวถึง ตันครึ่ง ยังไม่รวมน้ำหนักผู้โดยสารบนรถทั้งหมดอีก 4 คน ถือว่าทำได้ดีทีเดียว แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าเป็นในตัว 2.0 จะอืดลงมากน้อยเพียงใด สำหรับในจังหวะเร่งแซงนั้น บางครั้งต้องการรอบเครื่องสูงจัด เนื่องจากเกียร์มีอัตราทดต่ำไม่ได้จัดจ้าน จึงต้องโยกคันเกียร์ลงมาที่ตำแหน่ง S และกด – ที่ก้าน Paddle Shift เพื่อเรียกรอบ สำหรับในโหมด S นั้น มีอัตราทดเท่ากับ D เลย ไม่ได้มีอัตราทดที่สูงขึ้น หรือรอบจัดขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่โหมดนี้ สามารถลากรอบไปถึง Red Line ได้โดยไม่มีการตัด ซึ่งที่จริงแล้ว ถ้าไม่ได้ขึ้นเขาทางชัน หรือ ทางโค้งคดเคี้ยวไปมา ขับอยู่บนทางธรรมดา เพียงแต่จะเร่งแซงใช้ Kick down เอาเฉยๆ ก็น่าจะพอ สำหรับในส่วนของเกียร์นั้น เป็นแบบ 5 Grade Logic Control ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เทคโนโลยีที่ใหม่เลย ของทาง Honda มันมีมานานแล้ว แต่เกียร์ลูกนี้ยังให้การตอบสนองที่นุ่มนวล ไม่แพ้พวก CVT มากนัก ให้ความต่อเนื่องได้ดีทีเดียว และเห็นได้ชัดกับระบบ Grade Logic Control กับระบบ Shift Hold Control ทำงานได้อย่างชัดเจน เพราะทางที่ขับนั้นเป็นเขาคดเคี้ยว เกียร์นั้นจะยังไม่ทำการขึ้นเกียร์ให้แม้ในจังหวะที่เร่งคันเร่งแล้ว ทำการถอนคันเร่งแล้ว ก็ยังไม่ทำการขึ้นเกียร์ให้ ยังคงเกียร์ต่ำให้อยู่ ซึ่งในบางครั้งก็ทำเอารำคาญเหมือนกัน ที่ต้องการจะขึ้นเกียร์แล้ว แต่ยังไม่ขึ้นสักที จนต้องหันมาหาโหมด S หวังพึ่ง Paddle Shift แทน และอาการนี้มันก็ยังคงตามมาให้เห็นในเส้นทางไฮเวย์อยู่ จนผมต้องแทบจะขับด้วยโหมด S ตลอดการเดินทาง

สำหรับด้านความสัมพันธ์รอบเครื่องที่ได้นั้น เนื่องจากในจังหวะที่ได้ขับ เส้นทางนั้นเป็นเขาและโค้งคดเคี้ยวซะส่วนใหญ่ บวกกับหน้าปัดที่แสดงรอบเครื่องยนต์นั้นค่อนข้างเล็ก จึงทำให้มองดูความสัมพันธ์รอบเครื่องได้ไม่ชัดเจนนัก จึงขอประมาณโดยคร่าวๆ ดังนี้ 80กม./ชม. รอบนั้นอยู่ไม่เกิน 1500rpm 100กม./ชม.=1750rpm 120กม./ชม.รอบอยู่ราว 2000rpm+ เล็กน้อย ซึ่งจากตัวเลขที่ได้นี้นั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างต่ำ และต่ำกว่ารถที่ใช้เกียร์ CVT หลายคันเสียอีก ซึ่งอาจเป็นเพราะในคันที่ขับนี้เป็น 2.4 2WD ซึ่งมีอัตราทดเกียร์ต่ำที่สุดในบรรดาทุกรุ่นด้วย

ด้านของ Handling พวงมาลัยนั้น น้ำหนักในการออกตัวที่รอบต่ำนั้นเบา แต่ไม่ถึงขั้นเบาจนไร้น้ำหนัก เหมือนกับพวก Jazz แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้นยังรู้สึกว่า พวงมาลัยนั้นยังเบาไปอยู่ สำหรับ Free Area มีพอสมควรไม่ได้มากเกินไปกำลังดี แต่ถ้าเทียบแล้ว ก็ถือว่า ok เป็นพวงมาลัยที่ยังขับใช้งานได้สะดวกสบาย เหมาะสมกับความเป็นรถอเนกประสงค์ สามารถขับเดินทางไกลได้โดยไม่ต้องเกร็งมือมาก ขับแบบมือเดียวได้อย่างสบายๆ ในการเดินทางไกลที่ความเร็วไม่สูงผิดปกติจนเกินไป

ระบบเบรกนั้น กับดิสก์เบรก 4 ล้อ ด้านหน้าแบบมีช่องระบายความร้อนขนาดจาน 11.7” (297.18mm) ด้านหลังแบบดรัมอินดิสก์ขนาดจาน 12” (304.8mm) ให้การเบรกที่มีสัมผัสค่อนข้างนุ่มนวล ตามสไตล์ SUV แต่ยังให้ความรู้สึกว่า เบรกนั้น ฟีลลิ่งยังคงเป็นตามสไตล์ของ Honda คือ สั่งแล้วยังไม่หยุดตามเท้า ในจังหวะที่ขับอยู่ มีทางก่อสร้างข้างหน้า รถคันข้างหน้าชะลอจนต้องจอดแล้ว จึงต้องกดแป้นเบรกแบบลงน้ำหนักมากเป็นพิเศษ แต่ยังรู้สึกว่าเอาไม่อยู่ ต้องกดลึกเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีก รวมถึงใช้ Paddle Shift ในการช่วยลดเกียร์เป็น Engine Break ช่วยด้วย ซึ่งถ้ามาแบบเร็วๆ อยากเบรกแบบนุ่มนวลคงต้องเผื่อระยะไว้สักหน่อย หรือไม่งั้นก็ต้องกดแป้นเบรกกันจมลึก ซึ่งเล่นเอาหน้าทิ่มกันได้ แต่สำหรับการขับขี่แบบปกติ ไม่ได้จี้ จนต้องเบรกกระชั้นชิด ก็ถือว่าทำได้ไม่เลว

ระบบกันสะเทือนช่วงล่างนั้น ด้วยความที่ Honda CR-V นี้เป็นรถ SUV แบบเน้นความสบาย หรูหรา ช่วงล่างจึงเป็นแบบเดียวกันกับรถเก๋ง ไม่ใช่พวก PPV ที่ใช้ช่วงล่างแบบเดียวกับกระบะ ซึ่งพวกนั้นจะได้ความแข็งแกร่งสมบุกสมบันเหมาะแก่การลุย ซึ่งต่างจาก Honda CR-V นี้อย่างสิ้นเชิง โดยเจ้า All New CR-V นี้ ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็น อิสระ ดับเบิ้ลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลง อาการของช่วงล่างที่ได้นั้น ยอมรับเลยว่านุ่มนวลมากขึ้นจริง มันนุ่มนวลกว่า CR-V ตัวก่อน และนุ่มนวลเป็นอันดับต้นๆของ SUV เลย จากที่ขับมาทางขึ้นเขาใหญ่ มีทั้งหลุมบ่อทางขรุขระ ไม่พบความกระด้างจากสภาพถนนเหล่านี้ จะเล็ดลอดเข้ามาจนให้เราสัมผัสถึงได้ ร่วมกับยาง Dunlop SP Sport Maxx ขนาด 225/60 R18 มันดูดซับแรงได้ดีมาก มากกว่าที่คิดไว้เสียอีก ในด้านการยึดเกาะ ก็ทำได้ดี ในจังหวะเข้าโค้งโยนๆ เล็กน้อย ตัวรถโคลงเคลงนิด ตามประสารถสูง อย่าง SUV แต่มีไม่มากนัก เท่าที่ขับยังไม่พบ อาการ หน้าดื้อ หรือ ท้ายออก อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่ง ไม่ได้เข้าโค้งที่ความเร็วสูงมากเนื่องจาก มีผู้โดยสารในรถจำนวนมาก และระบบ VSA ที่ช่วยควบคุมการทรงตัวในส่วนตรงนี้เอาไว้ด้วย ซึ่งในความเป็นจริงกับรถยนต์ SUV นี้ คงจะมีน้อยคนที่คิดจะเอารถครอบครัวนั่งสบายแบบนี้ไปโยนเทโค้งเล่น แต่ถ้าอยากลอง ก็คงจะต้องไปหาเวลาเหมาะๆ กับเส้นทางบนเขาคดเคี้ยวเช่นนี้ และปิด VSA กันดู แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณมือไม่แข็งจริง อย่าได้ริเล่นเป็นอันขาด เพราะรถเขาออกแบบ มาเพื่อความปลอดภัยดีอยู่แล้ว

สรุป All New Honda CR-V นี้ เป็นรถยนต์ SUV อเนกประสงค์ ตาม Concept ที่ว่า Life will never be the same “สู่มาตรฐานใหม่ของการใช้ชีวิต” คือ เป็นรถยนต์ที่ให้ภาพลักษณ์ความแข็งแกร่ง ล้ำสมัยในสไตล์ SUV และแฝงด้วยความหรูหรา สะดวกสบายสไตล์ซีดาน ทั้งภายในและภายนอก ทั้งในเรื่องเบาะนั่งที่ให้ความสบายเป็นที่สุด จนถึงความนุ่มนวลที่ได้รับจากช่วงล่าง มันจึงดูเป็นรถยนต์ ที่เหมาะสมกับคนที่ต้องการความหรูหรา ร่วมกับความสะดวกสบาย และยังพร้อมที่จะลุย ไปกับคุณได้ในหลายสถานการณ์ที่รถเก๋ง นั้นไปเป็นเพื่อนคุณไม่ได้ แต่มันก็คงไม่เหมาะสมนัก ถ้าคิดจะซื้อมันไปลุยทาง Off-Road เล่น หรือไปวิ่งอยู่ในไร่นา สงสารมันเถิดภาพลักษณ์ความมีระดับจะดับหายไปทันที ในส่วนเครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงให้รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 มันทำให้เป็นมิตรต่อโลกยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มได้อีก ตราบใดที่กระทรวงพลังงานยังไม่ลดการอุดหนุนราคาน้ำมัน E85 จนทำให้ผู้บริโภคมองเห็นว่าไม่คุ้มค่าต่อการเติม สำหรับเจ้า CR-V นี้อาจเสียเปรียบรถ SUV รวมถึง PPV ค่ายอื่น ตรงที่มันเป็นรถยนต์ 5 ที่นั่ง ซึ่งถ้าคนที่มีครอบครัวใหญ่ อยากจะไปพร้อมกันนั้น คงจะไม่เลือกเจ้า CR-V นี้ก็เป็นได้ อาจจะไปเลือกรถค่ายอื่นแทน หรือจะหันเปลี่ยนแนวไปจับเจ้า New Freed มาใช้แทน และถ้ายังไม่สบายถูกใจ อยากได้ความหรูหราสบายอย่างแท้จริง ก็อาจเลือก Odyssey ไปเลย ถ้าเงินในกระเป๋านั้นไม่ใช่ประเด็น สำคัญนัก

Honda CR-V 2013 ใหม่ มีจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น คือ รุ่น 2.0 S (ขับเคลื่อน 2 ล้อ) ราคา 1,164,000 บาท รุ่น 2.0 E (ขับเคลื่อน 4 ล้อ) ราคา 1,274,000 บาท รุ่น 2.4 EL 2WD (ขับเคลื่อน 2 ล้อ) ราคา 1,444,000 บาท รุ่น 2.4 EL (ขับเคลื่อน 4 ล้อ) ราคา 1,524,000 บาท

CR-V ใหม่ มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ 2 สีใหม่ สีน้ำเงินทไวไลท์ (เมทัลลิก) สีขาวออร์คิด (มุก) (ราคาเพิ่ม 12,000 บาท)

นอกจากนี้ยังมีสีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโพลิชเมทัล (เมทัลลิก) และสีน้ำตาลเออเบิร์นไททาเนียม (เมทัลลิก)


คำนวณค่างวดรถเบื้องต้น
Use the calculator to calculate the installment of your dream car
ระยะเวลาผ่อนชำระ (เดือน)
* ราคาค่างวดรวม VAT แล้ว สำหรับพิจารณาข้อมูลเบื้องต้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการซื้อขายได้
อัตราการผ่อนชำระ (เดือน)
บาท
จำนวนงวด (เดือน)
สนใจขอสินเชื่อรุ่นนี้
* ราคาค่างวดรวม VAT แล้ว สำหรับพิจารณาข้อมูลเบื้องต้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการซื้อขายได้

ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ