จุดสำคัญที่ต้องเช็กหลังขับรถลุยน้ำท่วมมีตำแหน่งไหนบ้าง และสิ่งที่ควรทำเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความมั่นใจ รวมถึงข้อควรระวังที่สำคัญที่สุด
อย่าชะล่าใจ 14 จุดสำคัญที่ต้องเช็กหลังลุยน้ำท่วม
สถานการณ์น้ำท่วมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเผชิญ และเมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้เกิดขึ้นกับรถยนต์คู่ใจ การดูแลและตรวจสอบหลังน้ำลดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และป้องกันความเสียหายระยะยาวที่อาจตามมา การละเลยการตรวจเช็คอาจนำไปสู่ปัญหาที่บานปลายและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นได้ ดังนั้น หลังจากการผจญภัยในสายน้ำมาแล้ว อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่คุณควรใส่ใจและตรวจสอบรถยนต์ของคุณอย่างละเอียด
สังเกตการณ์หลังพ้นวิกฤตน้ำท่วม
ทันทีที่คุณขับรถพ้นจากบริเวณน้ำท่วม สิ่งแรกที่ควรทำคือการสังเกตและรับฟังความผิดปกติของรถยนต์เบื้องต้น ดังต่อไปนี้
- ระบบเบรก: ลองย้ำเบรกเบาๆ หลายครั้งเพื่อไล่น้ำและความชื้นออกจากระบบ หากรู้สึกว่าเบรกไม่ตอบสนองเท่าที่ควร หรือมีเสียงดังผิดปกติ ควรรีบนำรถเข้าตรวจสอบโดยด่วน
- การควบคุมพวงมาลัย: สังเกตว่าพวงมาลัยยังควบคุมได้แม่นยำหรือไม่ หากรู้สึกหนัก ฝืด หรือมีเสียงดังขณะหมุน อาจเป็นสัญญาณของความเสียหายในระบบบังคับเลี้ยว
- เสียงเครื่องยนต์: ฟังเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ว่ายังคงราบรื่นหรือไม่ หากมีเสียงแปลกๆ สั่นผิดปกติ หรือดับกลางทาง ควรรีบดับเครื่องและตรวจสอบเบื้องต้น
- กลิ่นภายในรถ: ดมกลิ่นภายในห้องโดยสาร หากมีกลิ่นเหม็นอับชื้น หรือกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย อาจบ่งบอกถึงน้ำที่ซึมเข้าไปในส่วนต่างๆ ของรถ
เมื่อถึงที่ปลอดภัย ตรวจสอบรอบคันอย่างละเอียด
เมื่อคุณนำรถมายังพื้นที่แห้งและปลอดภัยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจสอบรถยนต์อย่างละเอียดในทุกซอกทุกมุม โดยให้ตรวจสอบบริเวณดังต่อไปนี้
1. ภายนอกรถ
- ตัวถัง: มองหาร่องรอยคราบโคลน เศษขยะ หรือสิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่ตามซุ้มล้อ ใต้ท้องรถ และตามส่วนต่างๆ ของตัวถัง ควรรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดเพื่อป้องกันการกัดกร่อน
- ระบบไฟส่องสว่าง: ตรวจสอบไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และไฟเบรก ว่ายังทำงานเป็นปกติหรือไม่ และไม่มีหยดน้ำหรือความชื้นเข้าไปภายในโคมไฟ
- ท่อไอเสีย: ตรวจสอบว่ามีน้ำขังอยู่ในท่อไอเสียหรือไม่ หากมี ควรนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญช่วยนำน้ำออก เพื่อป้องกันความเสียหายต่อเครื่องยนต์
- ยางรถยนต์: สังเกตว่ามีสิ่งแปลกปลอม เช่น เศษแก้ว หรือตะปู ติดอยู่หรือไม่ และตรวจสอบแรงดันลมยางว่ายังอยู่ในระดับปกติ
2. ภายในรถ
- พรมและพื้นรถ: ตรวจสอบว่าพรมและพื้นรถเปียกชื้นหรือไม่ ควรรีบนำพรมออกมาตากแดดให้แห้งสนิท และใช้ผ้าหรือเครื่องดูดฝุ่นดูดน้ำออกจากพื้นรถให้มากที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์
- เบาะนั่ง: ตรวจสอบเบาะนั่งทุกตำแหน่งว่าเปียกชื้นหรือไม่ หากเปียก ควรใช้ผ้าสะอาดซับน้ำออกให้มากที่สุด และเปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศ หรือใช้พัดลมช่วยเป่าให้แห้งสนิท
- ระบบไฟฟ้า: ทดลองเปิดปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ภายในรถ เช่น ไฟภายในห้องโดยสาร ระบบปรับอากาศ วิทยุ กระจกไฟฟ้า และที่ปัดน้ำฝน ว่ายังทำงานปกติหรือไม่ หากพบอาการขัดข้อง ควรรีบนำรถไปตรวจสอบระบบไฟฟ้า
3. ห้องเครื่องยนต์
- ระดับของเหลว: ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำยาหล่อเย็น และน้ำมันเบรก ว่ามีสีผิดปกติ (เช่น สีขุ่นคล้ายนม) หรือระดับสูงขึ้นกว่าปกติหรือไม่ ซึ่งอาจบ่งบอกว่ามีน้ำเข้าไปปะปน ควรรีบนำรถไปเปลี่ยนถ่ายของเหลวใหม่
- กรองอากาศ: เปิดฝากรองอากาศและตรวจสอบว่ากรองอากาศเปียกชื้นหรือมีสิ่งสกปรกหรือไม่ หากเปียก ควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพราะกรองอากาศที่ชื้นจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- สายไฟและขั้วต่อ: ตรวจสอบสายไฟและขั้วต่อต่างๆ ว่ามีคราบน้ำ คราบโคลน หรือร่องรอยการกัดกร่อนหรือไม่ ทำความสะอาดและฉีดสเปรย์ป้องกันความชื้นหากจำเป็น
- ชิ้นส่วนเครื่องยนต์: สังเกตภายนอกเครื่องยนต์ว่ามีคราบน้ำหรือโคลนติดอยู่หรือไม่ หากพบ ควรรีบล้างทำความสะอาด
4. ช่วงล่าง
- ระบบเบรก: หากก่อนหน้านี้รู้สึกถึงความผิดปกติขณะเบรก ควรรีบนำรถไปให้ช่างตรวจสอบระบบเบรกอย่างละเอียด รวมถึงผ้าเบรก จานเบรก และน้ำมันเบรก
- ลูกปืนล้อ: ลองฟังเสียงขณะขับขี่ หากมีเสียงหอนดังขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่าลูกปืนล้อได้รับความเสียหายจากน้ำ
- ส่วนประกอบอื่นๆ: ตรวจสอบโช้คอัพ ลูกหมาก เพลาขับ และส่วนประกอบอื่นๆ ว่ามีคราบโคลนหรือความเสียหายหรือไม่
สิ่งที่ควรทำเพิ่มเติมเพื่อความมั่นใจ
- ล้างรถอย่างละเอียด: หลังจากตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ควรนำรถไปล้างทำความสะอาดทั้งภายนอกและภายในอย่างละเอียด เพื่อกำจัดคราบสกปรกและป้องกันการเกิดสนิมในระยะยาว
- ปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ: หากคุณไม่แน่ใจ หรือพบความผิดปกติใดๆ ก็ตาม ควรรีบนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาและรับคำแนะนำในการดูแลรักษารถยนต์หลังน้ำท่วมอย่างถูกต้อง
ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุด
อย่าพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ หากสงสัยว่ามีน้ำเข้าไปในเครื่องยนต์! การพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ในขณะที่มีน้ำขังอยู่ภายในกระบอกสูบ อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์ หรือที่เรียกว่าภาวะ "Hydrostatic Lock" ควรรีบติดต่อช่างผู้ชำนาญเพื่อนำรถไปตรวจสอบและแก้ไขอย่างถูกวิธี
การดูแลและตรวจสอบรถยนต์หลังเผชิญภัยน้ำท่วมเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและผู้ร่วมทาง รวมถึงเป็นการยืดอายุการใช้งานของรถยนต์คู่ใจ การใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยและการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที จะช่วยให้คุณมั่นใจในการขับขี่และลดความเสี่ยงจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หลังน้ำลด...อย่าลืมใส่ใจรถของคุณด้วยนะ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น