OMODA & JAECOO (โอโมด้า แอนด์ เจคู่) และ CHERY (เชอรี) ภายใต้บริษัท CHERY Automobile ประกาศวิสัยทัศน์บุกตลาดไทยทั้ง 3 แบรนด์ ชูจุดเด่นของเทคโนโลยีและความต่างด้านขุมพลัง-ราคาเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตั้งเป้าแย่งส่วนแบ่งตลาดรถเอชอีวีจากค่ายรถญี่ปุ่น เตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่แบบต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 พร้อมเปิดไลน์การผลิตโรงงานไทยปี 2568 นี้
CHERY และ OMODA & JAECOO รุกตลาดรถเต็มรูปแบบ สร้างความต่างเจาะกลุ่มลูกค้า หวังแย่งส่วนแบ่งตลาดรถเอชอีวีจากค่ายรถญี่ปุ่น
เฉิน ชุนชิง รองประธาน เชอรี่ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า "ประเทศไทยเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญของ CHERY และ OMODA & JAECOO ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประกาศความพร้อมและแผนการลงทุนในครั้งนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นที่เรามีต่อตลาดไทย และเป็นก้าวสำคัญในวิสัยทัศน์ระยะยาวเพื่อสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่งในภูมิภาค เรามีความพร้อมเต็มที่ในทุกมิติ ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำหน้า การพัฒนาด้านการขายและการบริการหลังการขายโดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนการพัฒนาฐานการผลิตในไทยที่ทันสมัยระดับโลก เรามั่นใจอย่างยิ่งว่ากลยุทธ์ธุรกิจของ CHERY และ OMODA & JAECOO จะตอบความต้องการของผู้บริโภคไทยและเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน"
ทยอยเปิดตัวรถยนต์ใหม่ไตรมาส 3 ทั้งสามแบรนด์
แผนกำหนดการเปิดตัว JAECOO 5 EV และ JAECOO 6T EV ภายในไตรมาส 3 ตามมาด้วย OMODA C7 SHS และ OMODA C9 SHS ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และเพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น OMODA & JAECOO เตรียมเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ JAECOO หรือ Mr.J ภายในเร็วๆ นี้ ด้วย
ขณะเดียวกัน ทาง CHERY ประกาศความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแผนการลงทุนและการพัฒนาธุรกิจระยะยาว พร้อมกลยุทธ์การวางตำแหน่งแบรนด์และผลิตภัณฑ์ในตลาดรถยนต์ไทยที่เน้นย้ำจุดเด่นด้านเทคโนโลยี คุณภาพ และความคุ้มค่า
ในปีนี้ CHERY เตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น CHERY Tiggo 8, CHERY V23 (iCAR V23), CHERY Tiggo Cross และ CHERY Tiggo 7 ทาง CHERY ยังเดินหน้าขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศไทย ให้ครบ 30 แห่ง ในประเทศไทย เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างครอบคลุม มุ่งมั่นสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดและมอบประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้บริโภคชาวไทยภายในปีนี้
เปิดไลน์ผลิตรถโรงงานไทยไตรมาส 3 ปี 2568 ประเดิมด้วยรุ่น JAECOO 6 EV
CHERY และ OMODA & JAECOO ประกาศความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานในประเทศไทย ที่อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง บนพื้นที่ 104 ไร่ โดยมีมูลค่าการลงทุนที่วางแผนไว้ทั้งสิ้นราว 5,000 ล้านบาท พร้อมเริ่มเดินสายการผลิตที่โรงงานใน ไตรมาส 3 ปี 2568 ด้วยเป้าหมายกำลังการผลิตเป็น 80,000 คันต่อปีภายในปี 2571 โดยเริ่มการผลิต JAECOO 6 EV เป็นรุ่นแรกเพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกในเอเชีย โรงงานแห่งนี้จะเน้นการผลิตแบบ Completely Knocked Down (CKD) พร้อมติดตั้งหุ่นยนต์เชื่อมสำหรับการเชื่อมอลูมิเนียมที่แม่นยำ
นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีแผนการลงทุนในการผลิตยานยนต์เพิ่มเติม ทั้งขยายกำลังการผลิตและโมเดลไฟฟ้าไฮบริด (HEV) รถยนต์รุ่นอื่นๆ ของ CHERY Group และการจัดตั้งโรงพ่นสีภายในปี 2570 รวมถึงการให้ความสำคัญในการจัดจ้างงานสำหรับการทำงานในโรงงานนี้โดยเริ่มต้นจะเป็นแรงงานไทย 150 คน สำหรับการทำงานกะเดียว และจะขยายโรงงานและอัตราการจ้างแรงงานไทยเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย
ชูจุดเด่นเทคโนโลยีและความต่างด้านขุมพลัง-ราคา เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) กล่าวว่า จะใช้ความแตกต่างด้านขุมพลังของแบรนด์ OMODA & JAECOO และ CHERY มาเป็นจุดขาย โดยเฉพาะ CHERY จะมีขุมพลัง HEV และ PHEV และจะใช้พื้นที่โรงงานเดียวกันกับ OMODA & JAECOO ในการประกอบรถยนต์ ส่วนจะลงทุนเพิ่มอย่างไร จะชี้แจงให้ทราบภายหลัง ส่วน OMODA & JAECOO ขุมพลังที่ผลิตและขายในไทย จะมีขุมพลัง PHEV REEV และ BEV ซึ่งเชอรีไม่มี BEV
“เป้าหมายที่กลุ่มเรานำรถ HEV มาจำหน่ายในไทย เนื่องจากเห็นว่าในตลาดรถยนต์ไทย รถ HEV มีแค่แบรนด์ญี่ปุ่น จึงอยากได้ส่วนแบ่งการส่วนนี้ หากถามว่า OMODA & JAECOO กับ CHERY ต่างกันอย่างไร นอกเหนือจากขุมพลัง ยังมีความต่างเรื่องราคา โดยรถยนต์แบรนด์ CHERY ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า”
แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทย
ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) กล่าวว่า เร็วๆ นี้ CHERY Automobile ผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลกและ OMODA & JAECOO ได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการพัฒนาแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาคอาเซียน โดยความร่วมมือครั้งนี้มุ่งเน้นพัฒนาแบรนด์ EV แห่งชาติของไทย ส่งเสริมขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี EV ภายในประเทศ และสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศให้เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยมุ่งเน้นการจำหน่ายในประเทศไทย
ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยี EV และราคาที่เข้าถึงได้สำหรับผู้บริโภคไทย เพื่อสนับสนุนให้คนไทยสามารถเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ โครงการยังใช้ข้อได้เปรียบด้านภาษีในฐานะ “รถยนต์สัญชาติไทย” เพื่อสร้างระบบราคาที่เหมาะสม พร้อมกระตุ้นห่วงโซ่การผลิตภายในประเทศ ตั้งแต่การจัดหาชิ้นส่วน การจ้างงาน ไปจนถึงการพัฒนาเครือข่ายบริการหลังการขายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นในทุกภูมิภาค แต่รายละเอียดทั้งหมดคาดว่าจะให้คำตอบได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
บทความที่น่าสนใจ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น