มีใครงงเรื่องสีของน้ำยาหม้อน้ำไหม? วันนี้เลดี้จะพาไปเจาะลึกว่าน้ำยาหม้อน้ำแต่ละสี มีความแตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกแบบไหน?
อย่าหาทำ! ผสมน้ำยาหม้อน้ำคนละสี หายนะที่อาจมาเยือนเครื่องยนต์ของคุณ
เคยยืนงงอยู่หน้าชั้นวางน้ำยาหล่อเย็นไหม? มีสีเขียว สีชมพู สีฟ้า สีส้ม เต็มไปหมด แล้วตกลงมันต่างกันยังไง? หลายคนยังเชื่อว่าเลือกแค่สีให้เหมือนของเดิมก็พอแล้ว แต่ความจริงคือ ถ้าเลือกผิดสูตร อาจหมายถึงหายนะของเครื่องยนต์ราคาหลายแสนของคุณได้เลย วันนี้เลดี้จะมาเจาะลึกว่า น้ำยาหม้อน้ำ แต่ละสีมันต่างกันที่อะไรกันแน่ และวิธีเลือกที่ถูกต้องจริงๆ ต้องดูจากตรงไหน
สีของน้ำยาหม้อน้ำต่างกันอย่างไร?
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สีของน้ำยาหม้อน้ำ ไม่ได้มีมาตรฐานสากล หมายความว่าน้ำยาสีเขียวจากยี่ห้อหนึ่ง อาจมีคุณสมบัติไม่เหมือนกับน้ำยาสีเขียวของอีกยี่ห้อก็ได้ สีเป็นเพียงสิ่งที่ผู้ผลิตใส่เข้ามาเพื่อให้ง่ายต่อการมองเห็นรอยรั่วซึมและเพื่อแยกประเภทผลิตภัณฑ์ของตนเอง แต่ความแตกต่างที่แท้จริง อยู่ที่สูตร หรือ เทคโนโลยี ของสารป้องกันการกัดกร่อน ซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. IAT (Inorganic Additive Technology) - สูตรดั้งเดิม
-
สีที่พบบ่อย: สีเขียว
-
อายุการใช้งาน: สั้นที่สุด ประมาณ 2 ปี หรือทุกๆ 40,000 - 50,000 กิโลเมตร
-
เหมาะกับรถ: รถยนต์รุ่นเก่า (โดยเฉพาะรถก่อนช่วงปี 2000) ที่มีหม้อน้ำและชิ้นส่วนในระบบหล่อเย็นเป็นเหล็กหรือทองแดงเป็นหลัก
2. OAT (Organic Acid Technology) - สูตรใหม่ ยืดอายุการใช้งาน
-
สีที่พบบ่อย: สีส้ม, สีแดง (บางครั้งอาจเป็นสีอื่น)
-
อายุการใช้งาน: ยาวนานมาก ประมาณ 5 ปี หรือทุกๆ 150,000 - 200,000 กิโลเมตร
-
เหมาะกับรถ: รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ใช้หม้อน้ำและชิ้นส่วนที่เป็นอะลูมิเนียม
3. HOAT (Hybrid Organic Acid Technology) - สูตรไฮบริด
-
สีที่พบบ่อย: สีชมพู, สีฟ้า, สีเหลือง (มักเป็นสีเฉพาะของค่ายรถ)
-
อายุการใช้งาน: ยาวนานมาก เหมือนกับ OAT
-
เหมาะกับรถ: รถยนต์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน สูตรนี้เป็นการผสมผสานข้อดีของ IAT และ OAT เข้าด้วยกันเพื่อให้การปกป้องที่ดีที่สุดสำหรับวัสดุหลายชนิดในระบบหล่อเย็น
-
สีชมพู: มักเป็นสูตรเฉพาะของ Toyota, Lexus
-
สีฟ้า: มักเป็นสูตรเฉพาะของ Honda, Nissan
-
วิธีเลือกน้ำยาหม้อน้ำที่ถูกต้องที่สุด
เมื่อรู้แล้วว่าสีไม่ใช่ตัวตัดสินหลัก ให้ใช้วิธีเลือกที่ถูกต้องและปลอดภัยกับรถของคุณที่สุดตามลำดับนี้
อันดับ 1: เปิดคู่มือประจำรถ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดและแม่นยำที่สุด ในคู่มือรถจะระบุประเภท หรือ มาตรฐาน ของน้ำยาหล่อเย็นที่เครื่องยนต์ของคุณต้องการอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น G11, G12, G13 หรือมาตรฐานเฉพาะของค่ายรถ
อันดับ 2: ใช้น้ำยาของศูนย์บริการ หรือยี่ห้อเดียวกับรถ เป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุด หากคุณใช้รถ Toyota ก็ควรใช้น้ำยาหม้อน้ำของ Toyota (สีชมพู), ใช้รถ Honda ก็ควรใช้น้ำยาของ Honda (สีฟ้า) เพราะเป็นสูตรที่ออกแบบมาเพื่อรถของคุณโดยตรง
อันดับ 3: ซื้อยี่ห้ออื่นที่ระบุว่าเทียบเท่า หากต้องการใช้ยี่ห้ออื่น ให้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ระบุบนฉลากอย่างชัดเจนว่าผ่านมาตรฐาน หรือ ใช้แทนน้ำยาของรถยี่ห้อ/รุ่นของคุณได้ เช่น "For Asian Vehicles" หรือ "Meets Toyota Super Long Life Coolant specifications"
คำถาม ผสมน้ำยาหม้อน้ำได้ไหม?
คำตอบคือ ไม่ควรผสมกันโดยเด็ดขาด! แม้ว่าน้ำยาบางยี่ห้ออาจจะอ้างว่าผสมได้ แต่การนำน้ำยาหล่อเย็นคนละสูตร คนละเทคโนโลยีมาผสมกัน อาจทำให้สารเคมีในน้ำยาทำปฏิกิริยากันเองจนเกิดผลเสียร้ายแรงได้ เช่น
-
ประสิทธิภาพลดลง สารป้องกันการกัดกร่อนอาจเสื่อมสภาพ ไม่สามารถปกป้องระบบหล่อเย็นได้
-
เกิดการตกตะกอนหรือกลายเป็นวุ้น ซึ่งจะเข้าไปอุดตันทางเดินของน้ำในหม้อน้ำและเครื่องยนต์ ทำให้ระบบระบายความร้อนล้มเหลวและเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีท
-
เกิดการกัดกร่อน: สารเคมีที่ไม่เข้ากันอาจเร่งให้เกิดการกัดกร่อนในระบบได้
สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ก็คืออย่าเลือกน้ำยาหม้อน้ำจากสีเพียงอย่างเดียว แต่ให้เลือกจากประเภทเทคโนโลยีที่ระบุในคู่มือรถของคุณ การลงทุนกับน้ำยาหล่อเย็นที่ถูกต้อง คือการลงทุนเพื่อปกป้องเครื่องยนต์ไม่ให้เสียหาย ซึ่งคุ้มค่ากว่าค่าซ่อมมหาศาลในระยะยาวค่ะ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น