การทำใบขับขี่เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่การมีบัตรพกติดตัว แต่เป็นการยืนยันความพร้อมและความรับผิดชอบในการใช้รถใช้ถนน ตาม พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 กำหนดไว้ว่า ผู้ใดขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับรถ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย หากถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจแล้วไม่มีใบขับขี่ จะมีโทษปรับ
ทำใบขับขี่ 2569 สรุปขั้นตอนสำคัญที่ต้องรู้ฉบับสมบูรณ์

ทำใบขับขี่ใหม่ 2569 ปัจจุบันสามารถเลือกได้ 2 วิธี ทั้งเรียนกับโรงเรียนสอนขับรถที่ผ่านการรับรองของกรมการขนส่งทางบก เป็นวิธีที่สะดวกและจบในที่เดียว เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น โดยโรงเรียนจะจัดการอบรมและสอบทั้งภาคทฤษฎี (ข้อเขียน) และภาคปฏิบัติ (ขับรถ) ให้ทั้งหมด เมื่อสอบผ่านจะได้รับใบรับรองไปยื่นที่ขนส่งเพื่อถ่ายรูปรับบัตร (โดยสอบแค่สมรรถภาพร่างกายที่ขนส่ง)
และอีกวิธีหนึ่งคือ เรียนรู้ด้วยตนเอง หากคุณมีความสามารถในการขับขี่ (รถยนต์/จักรยานยนต์) อยู่ในระดับหนึ่งแล้ว และได้ศึกษาข้อสอบข้อเขียนมาอย่างดี คุณสามารถจองคิว (DLT Smart Queue) และไป "สอบ" ที่สำนักงานขนส่งได้โดยตรง โดยต้องผ่านการอบรม (E-learning ออนไลน์) และสอบผ่าน 3 ด่าน 1. สมรรถภาพร่างกาย, 2. ข้อเขียน, และ 3. ภาคปฏิบัติ (ขับรถ)

1. เรียนกับโรงเรียนสอนขับรถ
- ขั้นตอนการเรียนการสอน
2. เรียนรู้ด้วยตนเอง
3. ขั้นตอนการทำใบขับขี่ด้วยตนเอง
1. เรียนกับโรงเรียนสอนขับรถ
- ฝึกหัดขับรถ อบรมและทดสอบภาคทฤษฎี ทดสอบขับรถ
- นำใบรับรองไปทำใบขับขี่ที่สำนักงานขนส่งต่อไป
สาเหตุ ที่ควรเลือกเรียนขับรถกับโรงเรียนสอนขับรถที่กรมการขนส่งทางบกรับรอง เพราะการขับรถบนท้องถนน มีสิ่งที่ต้องรู้มากกว่าแค่การขับรถ เช่น
- การทำความรู้จักกับเรื่องพื้นฐานของรถ
- เทคนิคขับรถ
- การเรียนรู้กฎหมายจราจร
- ป้ายจราจร
- สัญญาณไฟต่างๆ
- ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนร่วมกับผู้อื่น
- มารยาทในการขับรถ (เป็นต้น)
เมื่อถามว่า โรงเรียนสอนขับรถที่ผ่านการรับรองดีอย่างไร ? ตอบได้ดังนี้
- ได้เรียนกับผู้ฝึกสอนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก
- ได้ฝึกหัดขับรถในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีสนามฝึกหัดขับ มีห้องเรียนรู้แยกเป็นสัดส่วน อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่มีเสียงดังรบกวนต่อการเรียนการสอน
- มีเครื่องทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ตามที่กรมการขนส่งทางบกกําหนด
- มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Exam) ทดสอบข้อเขียน
- มีรถสําหรับใช้ฝึกหัดขับ มีสนามฝึกหัดขับรถที่ได้มาตรฐาน
- มีเครื่องมือเรียนรู้ส่งเสริมการขับรถอย่างปลอดภัย

ขั้นตอนการเรียนการสอน
1. เลือกหลักสูตร สมัครเรียน
มีหลักสูตรให้เลือกหลากหลาย สมัครเรียนได้ด้วยตนเอง
- หลักสูตรสอนขับรถยนต์เกียร์ธรรมดา เกียร์ออโต้
- หลักสูตรสอนขับรถจักรยานยนต์
- หลักสูตรสอนขับรถที่ใช้เพื่อการขนส่ง (รถบรรทุก) บ.2 ท.2
- หลักสูตรต่อใบอนุญาตขับขี่
2. เรียนฝึกหัดขับรถ กับครูฝึกสอน
ฝึกปฎิบัติขับรถ 10 ชั่วโมง โดยครูฝึกสอนมากประสบการณ์ ที่ผ่านการอบรมทักษะการขับขี่จากกรมการขนส่งทางบก
- ฝึกในสนาม 7 ชั่วโมง ฝึกหัดการเบรก การเดินหน้าและหยุดรถเทียบทางเท้า การขับรถเดินหน้า-ถอยหลังในทางตรง ถอยหลังเข้าจอดในช่องว่าง การกลับรถทางแคบ การหยุดรถและออกรถบนทางลาด การถอยหลังเพื่อกลับรถ
- ฝึกขับรถบนถนนจริง 3 ชั่วโมง
3. อบรมภาคทฤษฎี 5 ชั่วโมง
- มีระบบสอบภาคทฤษฎีที่เชื่อมต่อกับระบบสอบของกรมการขนส่ง ครูผู้สอนฝึกอบรมให้มีความมั่นใจในการขับรถอย่างปลอดภัย
4. สอบใบขับขี่
- สามารถสอบใบขับขี่ได้โดยตรงกับทางโรงเรียน
5. โรงเรียนออกใบรับรอง นำไปยื่นรับใบขับขี่ที่สำนักงานขนส่ง
- เมื่อเรียนจบหลักสูตร โรงเรียนจะออกใบรับรองให้ สามารถนำไปยื่นขอรับใบขับขี่ได้ที่สำนักงานขนส่ง

2. เรียนรู้ด้วยตนเอง
- ฝึกหัดขับรถ เรียนรู้ภาคทฤษฎีด้วยตนเอง ศึกษาคู่มือและฝึกทำข้อสอบ
- เมื่อมั่นใจแล้ว จึงจองคิวนัดเข้าอบรมและทดสอบภาคทฤษฎี ทดสอบขับรถ ที่สำนักงานขนส่ง
3. ขั้นตอนการทำใบขับขี่ด้วยตนเอง
1. อ่าน e-Book คู่มืออบรมใบขับขี่
คู่มืออบรมใบขับขี่
- คู่มือเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย การคาดการณ์อบัติเหตุ
- คู่มืออบรมสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์
- คู่มือสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์
2. จองคิวผ่านแอป DLT Smart Queue
- เพื่อมาอบรมที่สำนักงานขนส่งใกล้บ้าน
- เลือกเมนูประเภทงานบริการ งานใบอนุญาต
3. อบรม 5 ชั่วโมง
3.1 การขับรถอย่างปลอดภัย อบรม 2 ชั่วโมง
3.2 กฏหมายที่เกี่ยวข้อง อบรม 1 ชั่วโมง 30 นาที ดังนี้
- กฏหมายว่าด้วยรถยนต์
- กฏหมายว่าด้วยทางหลวง
- กฏหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
3.3 จิตสำนึกและมารยาทในการขับรถ อบรม 1 ชั่วโมง
3.4 ข้อปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินและการให้ความช่วยเหลือ ปฐมพยาบาล อบรม 30 นาที
4. สอบข้อเขียน
การสอบข้อเขียนใบขับขี่มีเวลาให้ทำข้อสอบ 1 ชั่วโมง โดยข้อสอบทั้งหมด 50 ข้อ (ชุดละ 25 ข้อ) ผู้สอบต้องทำคะแนนให้ได้อย่างน้อย 90% หรือ 45 ข้อ จึงจะถือว่าผ่าน กรณีสอบไม่ผ่าน ต้องนัดสอบใหม่ในวันถัดไป หรือภายใน 90 วัน หากเกิน 90 วัน จะต้องดำเนินการใหม่ทั้งหมด
ฝึกทำข้อสอบ e-exam พร้อมเฉลยได้ที่นี่ ทำข้อสอบใบขับขี่ พร้อมเฉลย
5. ทดสอบขับรถ
- ท่าทดสอบการขับรถ หากเป็นรถยนต์จะสอบ 3 ท่า ส่วนรถจักรยานยนต์ จะต้องสอบทั้งหมด 5 ท่า
(กรณีสอบไม่ผ่าน: เจ้าหน้าที่บันทึกผลและออกใบนัดทดสอบครั้งต่อไปให้ โดยนำใบนัดไปจองคิวทดสอบขับรถใหม่)
6. ได้รับใบขับขี่ Smart Card
- ถ่ายรูป ชำระค่าธรรมเนียม
- ลงทะเบียนแอปฯ DLT QR License เปิดใช้งาน ใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์
- ลงทะเบียนแอปฯ ขับดี เช็กคะแนนใบขับขี่
หากปฏิบัติตามแนวทางข้างต้น เท่านี้คุณก็จะได้รับใบขับขี่ได้ง่ายๆ บางรายที่สอบไม่ผ่านในขั้นตอนใด ทางเจ้าหน้าที่จะนัดสอบใหม่ เตรียมตัว เตรียมเอกสารให้พร้อม จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอีก ต่ออายุใบขับขี่

อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
- เตือนภัย! อย่าหาทำ! ใบขับขี่ออนไลน์ไม่มีจริง เสียเงินฟรี แถมเสี่ยงคุก
-
ใบขับขี่หมดอายุ สามารถต่อได้ภายในกี่วัน หมดอายุไม่เกินปี ต้องทำไง??
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น