ทําสีรถยนต์ ราคาเท่าไหร่? และมีขั้นตอนอย่างไร? รวมถึงวิธีการเลือกประเภทของสี ควรเลือกแบบไหนดี?
เจาะลึกค่าใช้จ่ายทำสีรถทั้งคัน รวมถึงขั้นตอนและความแตกต่างของงานสีที่คุณอาจไม่เคยรู้
เมื่อรถคันโปรดเริ่มมีสภาพสีที่ซีดจางหรือมีริ้วรอยรอบคัน การตัดสินใจ ทำสีใหม่ทั้งคัน คือหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะชุบชีวิตให้รถกลับมาสวยเหมือนใหม่ แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ มันต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่? และมีอะไรที่เราต้องรู้บ้างเพื่อไม่ให้เจ็บตัวทีหลัง วันนี้เลดี้จะพาไปเจาะลึกทุกรายละเอียด ตั้งแต่ราคา ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่าย เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
สรุปค่าใช้จ่ายการทำสีรถทั้งคัน
โดยปกติแล้วราคาของการทำสีรถใหม่ทั้งคันนั้นขึ้นอยู่กับขนาดรถยนต์ และประเภทของสีที่คุณเลือกใช้ โดยจะแบ่งออกเป็นดังต่อไปนี้
- รถขนาดเล็ก หรือ Eco Car
- สีธรรมดา (Solid/Metallic) ประมาณ 20,000 - 40,000 บาท
- สีพิเศษ (มุก/ด้าน) ประมาณ 40,000 - 60,000 บาท
- รถขนาดกลาง C และ D Segment
- สีธรรมดา (Solid/Metallic) ประมาณ 30,000 - 50,000 บาท
- สีพิเศษ (มุก/ด้าน) ประมาณ 50,000 - 80,000 บาท
- รถขนาดใหญ่ SUV หรือ PPV หรือ กระบะ
- สีธรรมดา (Solid/Metallic) ประมาณ 40,000 - 70,000 บาท
- สีพิเศษ (มุก/ด้าน) ประมาณ 70,000 - 100,000+ บาท
ราคานี้เป็นเพียงราคาเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่คุณจะต้องเจอแน่ๆ คือ ค่าลอกสีเก่า หากสีเดิมเสื่อมสภาพมาก จำเป็นต้องลอกออกทั้งหมด อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 5,000 - 10,000 บาท รวมไปถึงค่าซ่อมตัวถัง ในกรณีที่รถของคุณมีรอยบุบหรือสนิม จะมีค่าเคาะ โป๊ว หรือปะผุก่อนทำสี โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,000 - 5,000 บาทต่อจุด
ทำไมราคาสีถึงต่างกัน? ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าทำสีรถ
ปัจจัยในเรื่องของราคาค่าทำสีรถยนต์ จริงๆ แล้วมีปัยจัยที่เกี่ยวเนื่องหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของสี ประเภทของสี มาตรฐานของอู่หรือศูนย์บริการ รวมไปถึงสภาพเดิมของรถคุณด้วยว่าเยินมากแค่ไหน โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้
- คุณภาพของสี
- สี 2K (แห้งช้า) คือสีมาตรฐานสูงที่ใช้ในอู่ชั้นนำ มีส่วนผสมของสารเร่งแข็ง (Hardener) ทำให้เนื้อสีทนทาน, เงางาม และทนแดดทนฝนได้ดีเยี่ยม นี่คือประเภทสีที่ควรเลือกสำหรับการทำสีทั้งคัน
- สี 1K (แห้งเร็ว) เป็นสีเกรดรองลงมา ไม่ทนทานเท่า 2K และอาจซีดจางได้เร็วกว่า มักใช้ในงานซ่อมราคาประหยัด
- ประเภทของสี หากเป็นสีธรรมดา หรือ Solid จะถูกที่สุด ตามมาด้วยสีเมทัลลิก สีมุก และสีพิเศษต่างๆ ซึ่งมีราคาแพงขึ้นตามลำดับ
- มาตรฐานของอู่ หรือ ศูนย์บริการ ซึ่งอู่ที่มีมาตรฐานสูงจะมี ห้องพ่นสี-อบสี โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นห้องปลอดฝุ่นและควบคุมอุณหภูมิได้ ทำให้ผลงานออกมาเรียบเนียนและทนทานกว่า
- สภาพเดิมของรถ เพราะรถที่มีรอยบุบหรือสนิมเยอะ ย่อมต้องใช้เวลาในการเตรียมพื้นผิวมากกว่า ค่าใช้จ่ายจึงสูงขึ้น
ขั้นตอนการทำสีรถยนต์ทั้งคัน แบบมาตรฐาน 2K
เพื่อให้ได้งานสีที่มีคุณภาพ การทำสีทั้งคันมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ ดังนี้
- เตรียมพื้นผิว เป็นขั้นตอนที่สำคัญและใช้เวลามากที่สุด เริ่มตั้งแต่การถอดชิ้นส่วน, ขัดสีเก่า, เคาะตัวถัง, ขจัดสนิม และโป๊วสีให้เรียบเนียน
- พ่นสีรองพื้น เพื่อช่วยให้สีจริงยึดเกาะกับตัวถังได้ดีขึ้น
- พ่นสีจริง ทำในห้องพ่นสีปลอดฝุ่น โดยจะพ่นสีจริงประมาณ 2-3 รอบ
- พ่นเคลียร์โค้ท พ่นแล็กเกอร์ใสทับเป็นชั้นสุดท้าย เพื่อสร้างความเงางามและปกป้องสีจริง
- อบสี นำรถเข้าห้องอบสีเพื่อให้สีแห้งสนิทและแข็งตัวเต็มที่
- ประกอบและขัดสี ประกอบชิ้นส่วนกลับคืน และทำการขัดสีเพื่อเก็บรายละเอียดและขัดเงาเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
หากคุณทำสีรถใหม่และเป็นสีที่แตกต่างจากสีเดิมที่จดทะเบียนไว้ สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรกคือ การแจ้งเปลี่ยนสีรถ ซึ่งคุณจะต้องแจ้งต่อกรมการขนส่งทางบก ภายใน 7 วัน และหากการเปลี่ยนสีรถยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ยังมีทางเลือกอื่นให้คุณอีก นั่นคือการ Wrap ฟิล์ม ซึ่งเป็นการใช้ฟิล์มสีปิดทับสีเดิม ข้อดีคือรวดเร็ว มีสีและลวดลายให้เลือกเยอะ และช่วยปกป้องสีเดิม แต่ก็มีราคาสูงและความทนทานขึ้นอยู่กับคุณภาพของฟิล์ม
การทำสีรถ คือการลงทุน อย่ามองแค่ราคาที่ถูกที่สุด แต่ให้พิจารณาถึง คุณภาพของสี ถ้าให้เลดี้แนะนำควรเป็นระบบ 2K มาตรฐานของอู่ก็ควรมีห้องพ่นสีแบบเป็นกิจจะลักษณะ และมีการรับประกันผลงาน เพื่อให้รถคันโปรดของคุณกลับมาสวยงามและทนทานไปอีกหลายปีค่ะ
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ความคิดเห็น