บริษัท ดิฟเฟอเรนเชียล (ไทยแลนด์) เปิดเผยรายงานการวิจัย “2025 Voice of Consumers: Stay vs Switch” ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้รถยนต์ชาวไทย หลังตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขยายตัว มีทั้งดีไซน์ และเทคโนโลยีที่มีความน่าสนใจ ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความไม่แน่ใจว่าจะภักดีกับแบรนด์เดิมต่อไป หรือไม่ รถขุมพลัง Hybrid กำลังกลายเป็นคำตอบระยะถัดไป ขณะที่ EV ยังต้องพิสูจน์เรื่องความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือเพื่อการยอมรับระยะยาว
คนไทยเปลี่ยนรถไวขึ้น แต่รักแบรนด์น้อยลง! ดิฟเฟอเรนเชียลชี้ เทรนด์ต่อไปต้อง HEV/PHEV
ผลการศึกษาชี้เจ้าของรถเพียง 36% ที่ยังภักดีต่อแบรนด์รถเดิม
จากผลการศึกษาพฤติกรรมความภักดีต่อแบรนด์รถยนต์ในกลุ่มเจ้าของรถชาวไทย พบว่า มีเจ้าของรถเพียง 36% ที่ยังภักดีต่อแบรนด์รถเดิม และยืนยันว่าจะซื้อรถยี่ห้อเดิมต่อไป ซึ่งลูกค้ามากกว่า 60% มีความลังเลในการที่จะซื้อรถยี่ห้อเดิมต่อไป โดยรถยี่ห้อจากประเทศจีนมีความเปราะบางที่สุด มีเจ้าของรถถึง 82% มีความไม่แน่ใจ หรือเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนยี่ห้อ แม้แต่ยี่ห้อรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นที่เคยสร้างความภักดีอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มลูกค้า ก็ยังเผชิญความเสี่ยง เมื่อลูกค้าครึ่งหนึ่งยังไม่มั่นใจว่าจะซื้อรถยี่ห้อเดิมต่อไป
ความรู้สึกภักดีต่อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์เป็นผลจาก เรื่องดังต่อไปนี้ ได้แก่
- ความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ ลูกค้าจะเกิดความภักดีต่อแบรนด์เมื่อแบรนด์สามารถสร้างความน่าเชื่อถือ ความรู้สึกชอบในรูปลักษณ์และสมรรถนะ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้
- มีประสบการณ์ที่ดีจากการเป็นเจ้าของตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อ จนถึงการบริการหลังการขาย นั่นหมายถึงความสะดวกในการซื้อ การบริการที่ดีจากพนักงานขาย ความพึงพอใจต่อศูนย์บริการทั้งด้านการเอาใจใส่ดูแลลูกค้า การบำรุงรักษารถ การสื่อสารที่โปร่งใส และการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจ
- มีภาพลักษณ์ และการรับรู้ของแบรนด์ที่ดี ความโดดเด่นของแบรนด์ และชื่อเสียงยังคงเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยรักษาความภักดี โดยเฉพาะแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์เชื่อมโยงกับคุณภาพ ความปลอดภัย และราคาขายต่อที่ดี
ส่วนเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจจากแบรนด์เดิม คือ
- วิถีชีวิตความต้องการ และความชอบที่เปลี่ยนไป ครอบครัวที่ขยายใหญ่ขึ้น รูปแบบการเดินทางใหม่ๆ หรือความต้องการรถยนต์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลักดันให้ลูกค้ามองหาทางเลือกอื่น
- การขาดนวัตกรรม แบรนด์ที่ไม่สามารถก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบความปลอดภัยขั้นสูง การเชื่อมต่อดิจิทัล หรือการพัฒนาระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า อาจสูญเสียความเชื่อมโยงกับตัวลูกค้าโดยเฉพาะในสายตาของลูกค้ารุ่นใหม่ที่ทันสมัย และช่างเลือก
- ประสบการณ์การเป็นเจ้าของที่ไม่ประทับใจ และมูลค่าขายต่อที่ลดลง การตั้งราคาที่ไม่โปร่งใส การทำสงครามราคาที่กระทบต่อมูลค่าขายต่อ หรือบริการหลังการขายที่ไม่น่าพึงพอใจ ล้วนบั่นทอนความเชื่อมั่น และผลักดันให้ลูกค้าเปลี่ยนไปหาแบรนด์คู่แข่ง
ลูกค้าลังเล หันไปเลือกรถยนต์ HEV/PHEV
ศิรส สาตราภัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิฟเฟอเรนเชียล ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “พฤติกรรมลูกค้าคนไทยมีความลังเล และระมัดระวังมากขึ้นเมื่อจะซื้อรถ โดยยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกขุมพลังแบบใดในรถยนต์ที่จะซื้อคันต่อไป โดยพบความไม่แน่ใจเพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2567 เป็น 29% ในปี 2568”
ทั้งนี้ เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ส่วนหนึ่งยังคงมีความตั้งใจที่จะเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าต่อไป แต่อีกส่วนเริ่มไม่แน่ใจ ขณะที่เจ้าของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ICE (Internal Combustion Engine) ค่อย ๆ ลดความผูกพันกับเครื่องยนต์สันดาป และหันไปเลือกรถยนต์ไฮบริด (HEV/PHEV) ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะถูกมองว่าเป็น ตัวเลือกที่ปลอดภัย และมั่นใจได้
“ความลังเลนี้ทำให้รถยนต์ไฮบริด กลายเป็น ทางเลือกที่ปลอดภัย ที่เชื่อมช่องว่างระหว่างรถเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ที่คุ้นเคย กับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยค่ายรถที่มีตัวเลือกระบบขุมพลังที่หลากหลายครอบคลุม ICE, Hybrid และ EV จะมีความได้เปรียบในการดึงดูดลูกค้าที่ต้องการพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับตนเอง”
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ว่า ตลาดรถยนต์ไทยกำลังอยู่ช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญ ลูกค้าอยากเปลี่ยนรถเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงหลังจากโควิด-19 แต่กลับภักดีต่อแบรนด์น้อยลง รถที่ใช้ขุมพลัง Hybrid กำลังกลายเป็นคำตอบระยะถัดไปจากนี้ ขณะที่ EV ยังต้องพิสูจน์เรื่องความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือก่อน จึงจะได้รับการยอมรับในระยะยาว
การวิจัยฯ ครั้งนี้ยังตอกย้ำว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยยังเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นรายใหม่ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในกรณีที่ลูกค้าก็พร้อมจะเปลี่ยนใจเช่นกัน การรักษาความภักดีต่อแบรนด์ จึงต้องอาศัยการส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจแก่ลูกค้า เสริมด้วยนวัตกรรมและการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ให้กับลูกค้า สำหรับรถยนต์แบรนด์จีน สิ่งสำคัญที่สุด คือ การสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ ผ่านบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้ การรับประกันที่โปร่งใส และเครือข่ายบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า หากขาดรากฐานเหล่านี้ ต่อให้มีราคาแข่งขันหรือดีไซน์ใหม่ที่ดึงดูด ก็ไม่อาจสร้างการซื้อซ้ำได้
รถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น และอเมริกันที่มีความสมเหตุผลแข่งขันในตลาดฯได้
ส่วนรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น และอเมริกัน ความท้าทายอยู่ที่การชูจุดแข็งดั้งเดิมที่สร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า และเสริมด้วยดีไซน์ นวัตกรรมใหม่ ระบบความปลอดภัยขั้นสูง ระบบอินโฟเทนเมนท์ รวมถึงระบบส่งกำลังแห่งอนาคต และควบคู่ไปกับ กลยุทธ์การตั้งราคาที่แข่งขันได้กับคู่แข่งจากประเทศจีน แม้ว่าราคาของรถญี่ปุ่นหรืออเมริกันจะสูงกว่า แต่ความต่างนั้นต้องไม่ห่างเกินไป และมีความสมเหตุสมผลเพื่อให้อยู่ในเกมส์การแข่งขัน และครองใจผู้บริโภครุ่นใหม่ได้ต่อไป
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
- กล้องติดรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี 2025 ภาพชัด ดูผ่านโทรศัพท์ได้
- เปิดกรุ! 10 บลูทูธรถยนต์ ราคาหลักร้อย คนใช้รถรุ่นเก่าต้องจัด!
- ไอเทมเด็ดพกติดรถรับมือหน้าฝน ขับขี่อุ่นใจตลอดเส้นทาง
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น