Ferrari 849 Testarossaเบอร์ลิเนตต้า (Berlinetta) ขับเคลื่อนด้วยระบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ชื่อTestarossa สืบทอดมาจากตํานานกว่า 70 ปี จาก Ferrari รุ่นไอคอนิกที่สุดที่เคยสรรสร้างขึ้นมา ต่อยอดเทคโนโลยีจากโลกมอเตอร์สปอร์ต และสปอยเลอร์แอโรไดนามิกแบบแอคทีฟที่ออกแบบใหม่
Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) PHEV เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่
Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) ราคาเท่าไร
- ราคาเริ่มต้น 41.1 ล้านบาท
Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) มีกี่สี
849 Testarossa มอบตัวเลือกการปรับแต่งหลากหลายรูปแบบ เพื่อยกระดับความสปอร์ตและเอกลักษณ์ด้านดีไซน์ของรถ หนึ่งในนวัตกรรมที่ถือเป็นไฮไลท์สําคัญคือการเปิดตัว สีใหม่สองเฉด ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสําหรับรุ่นนี้ ได้แก่
- Rosso Fiammante: พัฒนาต่อยอดจากสีที่เป็นอัตลักษณ์ของม้าลําพองอย่าง Rosso Corsa แต่เพิ่มเอฟเฟกต์เมทัลลิกด้วยกระบวนการพิเศษ ให้แสงสะท้อนอบอุ่นและสว่างไสวเมื่ออยู่กลางแดด
- Giallo Ambra: สีเข้มและอบอุ่นผสมโทนแดง ได้แรงบันดาลใจจากความลึกและความหลากหลายของสีธรรมชาติของอําพัน (Amber)
(สําหรับภายในมีการแนะนํา Alcantara Trim สี Giallo Siena ใหม่ ซึ่งออกแบบให้เข้ากับสีGiallo Ambra ภายนอกเฉพาะ)
ขุมพลัง Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta)
- 849 Testarossa เครื่องยนต์เบนซิน V8 เทอร์โบคู่ (Internal Combustion Engine: ICE)ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกันที่เคยคว้ารางวัล International Engine of the Year หลายสมัย โดยเครื่องยนต์ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อรีดสมรรถนะไปถึงขีดสุด ให้กําลังสูงสุด 830 แรงม้า ผสานกับระบบไฮบริดสุดลํ้าที่ต่อยอดจากประสบการณ์ในสนามแข่ง
- เครื่องยนต์วางกลางด้านหลังแบบ V8 ของม้าลําพอง แรงบันดาลใจจากรถแข่ง Sports Prototype ยุค 1970s สร้างแรงกด (Downforce) สูงถึง 415 กิโลกรัมที่ความเร็ว 250 กม./ชม. ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก SF90 Stradale ถึง 25 กิโลกรัม พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนให้กับระบบส่งกําลังและระบบเบรกมากขึ้นถึง 15%
- ในส่วนกําลังสูงสุด 830 แรงม้า กับอัตรากําลังเฉพาะ 208 แรงม้า/ลิตร เพิ่มขึ้น 50 แรงม้า ถือเป็นความสําเร็จครั้ง ใหม่เพราะ 849 Testarossa มีการปรับปรุงชิ้นส่วนทั้งหมดใหม่
- โหมดขับขี่ไฟฟ้า 4 โหมด ที่เลือกได้ผ่าน eManettino ได้แก่eDrive, Hybrid, Performance และ Qualify เพื่อเพิ่มสมรรถนะสูงสุดในทุกสภาวะ ในโหมด eDriveรถสามารถวิ่งได้สูงสุด 25 กิโลเมตร ด้วยการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 7.45 kWhซึ่งติดตั้งอยู่ในโครงสร้างตัวถัง เพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงตํ่าและสมดุลนํ้าหนักที่เหมาะสมที่สุด
ภายนอก Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta)
- Ferrari Styling Centre ภายใต้การนําทัพของ Flavio Manzoni ได้พัฒนา Ferrari 849 Testarossa โดยปฏิวัติรูปทรงจาก SF90 Stradale และขับเน้นถึงเทคโนโลยีและสมรรถนะของรถยนต์อย่างชัดเจน ภาษาการออกแบบ (Stylistic Language) ถูกถ่ายทอดด้วยทิศทางเชิงสถาปัตยกรรมและอนาคต ผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างเส้นสายเชิงประติมากรรมและ องค์ประกอบเชิงเส้นสาย เส้นแนวตั้งและแนวนอนสร้างสรรค์รูปแบบการรับรู้ใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากศาสตร์การบินและ Sports Prototypes แห่งยุค 1970s เส้นส้ายด้านข้าง (Flank) โดดเด่นด้วยประตูที่ผ่านการขึ้นรูปแบบสามมิติ โดยเริ่มจากเส้นสันหลัก (Main Crease Line)
- พื้นผิวด้านบนของประตูที่ถูกแกะสลักลึกเผยมิติที่ซับซ้อน ทีมออกแบบได้พลิกนิยามความสัมพันธ์ระหว่างตัวถัง (Body) และห้องโดยสาร (Cabin) แผงประตูถูกขึ้นรูปจากอะลูมิเนียมอัลลอยชิ้นเดียวด้วยกระบวนการผลิตขั้นสูงของม้าลําพอง ถือเป็นความสําเร็จที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับรถที่ออกจากสายการผลิตมาตรฐานใดมาก่อน ความพิเศษของงานออกแบบประตูอยู่ที่การทําหน้าที่เป็น Aerodynamic Duct ซึ่งมอบทั้งเอกลักษณ์เชิงสถาปัตยกรรมและความพลิ้วไหว เส้นแนวตั้งสีดํา(Contrasting Black Vertical Side Intake) เป็นช่องส่งอากาศเข้าสู่ Intercooler พร้อมเสริมช่องดักอากาศเพิ่มเติม (Additional Intake) ยิ่งตอกยํ้าเอกลักษณ์ทางการออกแบบและแนะนําแนวคิด ThreeDimensional Livery เส้นสายที่ต่อเนื่องไปทางด้านหลัง นําสายตาสู่ชุดสปอยเลอร์ท้ายแบบคู่ (Double Tail Design) ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Ferrari 512 S ซึ่งปรับสัดส่วนห้องโดยสารให้สปอร์ตและกระชับขึ้น
- Design ด้านหน้า (Front) มี เส้นสายและมิติของตัวรถ ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของ Ferrari ในยุค 1980s เส้น Fascia สีดําแนวนอนรูปสะพาน (Bridge-Like Horizontal Fascia) เชื่อมต่อไฟหน้า สะท้อนธีมการออกแบบที่เคยปรากฏบน Ferrari 12Cilindri และ F80 องค์ประกอบนี้สร้างอัตราส่วนใหม่ระหว่างปริมาตรและช่องว่างบนผิวตัวถัง ทําให้เกิดเอฟเฟกต์สปอยเลอร์กว้างเต็มด้าน (Full-Width Spoiler Effect) Flicks สีเดียวกับตัวถังและ Splitter สีดํา เติมเต็มพื้นที่ด้านล่างของกันชน ช่วยเสริมลักษณะทางเทคนิคและแอโรไดนามิกของรถ
- เมื่อมองจากด้านบน (Plan View) จะเห็น รูปทรงองค์ประกอบที่สะอาดตา (Extremely Clean Compositional Form) ของตัวรถอย่างชัดเจน Flicks ที่ยื่นออกมาจากกันชนหน้า พร้อมกับสปอยเลอร์สองส่วนชิ้นด้านท้าย (Two Rear Tail Sections) ช่วยกําหนดเส้นรอบตัวรถอย่างกลมกลืน Rear Screen ถูกผสานสายตาเข้ากับสปอยเลอร์ส่วนท้ายอีกครั้ง เน้นยํ้าเอฟเฟกต์
- ล้อฟอร์จ (Forged Wheels) ถูกพัฒนาอย่างใกล้ชิดร่วมกับฝ่ายแอโรไดนามิกส์ เส้นโปรไฟล์แอโรไดนามิกที่โดดเด่น พร้อมการตกแต่งแบบ Diamond-Cut ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายอากาศจากช่องล้อ (Wheel Well) และควบคุมการไหลของกระแสอากาศด้านหลัง รูปทรงของล้อยังเปิดโอกาสให้ปรับแต่งได้ทั้งด้านสุนทรียภาพและฟังก์ชันการใช้งานอย่างกว้างขวาง (เป็นต้น)


ภายใน Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta)
- ภายในของ 849 Testarossa เป็นการผสมผสานระหว่างการจัดวางแบบ Berlinetta ที่มีแดชบอร์ดแนวนอน กับค็อกพิท แบบ Single-Seater ตัวแดชบอร์ดด้านบนมีดีไซน์ลอยตัว(Floating Effect) พร้อม ช่องแอร์รูปตัว C (C-Shaped Air Vents) ที่มีกรอบอะลูมิเนียม ระหว่างส่วนบนและส่วนล่างมีแถบแนวนอนตัดขัด (Contrasting Horizontal Band) ที่รวมฟังก์ชัน ควบคุมหลักและหน้าจอผู้โดยสาร ส่วนล่างของแดชบอร์ดมีลวดลายเรือใบเชิงสถาปัตยกรรม (Architectural Sail Motifs) ซึ่งรวมฟังก์ชันควบคุมต่าง ๆ โดยมี Gate ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก F80 ฝังอยู่ในตําแหน่งลอยตัวด้านฝั่งพวงมาลัยการจัดวาง Central Tunnel ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อนําคําสั่งรอง (Secondary Commands) มาใช้ในลักษณะที่เป็นระเบียบและเรียบง่ายมากขึ้น ธีม Central Sail ถูกต่อยอดไปยัง Door Cards โดยมีตําแหน่งสําหรับ Woofer พร้อมตะแกรง อะลูมิเนียม และยังเป็นที่จัดวาง Door Pull ด้วย
- การออกแบบภายในมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่และปรับปรุงหลักสรีรศาสตร์(Ergonomics) ความสะดวกในการเข้าถึงปรับปรุงขึ้นด้วยการลดความกว้างของส่วนล่างของแผงประตูและพื้นที่ใกล้เคียง ทําให้มีพื้นที่เพิ่มเติมสําหรับด้านหลังเบาะ(Rear Bench) และกล่องเก็บของฝั่งผู้โดยสาร (Passenger-Side Glove Box)
- เบาะนั่งมีให้เลือกสองแบบ Comfort: เบาะหุ้มที่ปรับแต่งเชิงประติมากรรม และดีไซน์ที่สอดคล้องกับรูปทรงของค็อกพิท และ Carbon-Fibre Racing Seat: เบาะคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อม Side Bolsters แบบสปอร์ตเพื่อประคองลําตัวด้านข้างที่เหมาะสมทั้งสองรุ่นเกิดจากการศึกษาเชิงผสมระหว่างหลักสรีรศาสตร์(Ergonomics)และการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์เพื่อให้สมรรถนะและความสะดวกสบายสูงสุด
- ระบบอินเตอร์เฟซผู้ขับขี่ (HMI – Human-Machine Interface) พวงมาลัยของ 849 Testarossa รวมเอาฟังก์ชันทั้ง ดิจิทัล (Digital) และ อนาล็อก (Analogue) ไว้ด้วยกัน ปุ่ มควบคุมแบบกดที่ปรากฏใน F80 ถูกนํามาใช้ต่อ รวมถึง ปุ่ ม Engine Start อันเป็นเอกลักษณ์ ขณะที่ Digital Cluster ช่วยให้ผู้ขับสามารถ ปรับเปลี่ยน โหมดการขับขี่ไฟฟ้า (Electric Driving Modes) ได้อย่างรวดเร็วผ่าน eManettino อินเตอร์เฟซผู้ใช้ถูกออกแบบให้รวมฟังก์ชันรอบตัวผู้ขับขี่ ทําให้ผู้ขับรู้สึกถูกโอบล้อมด้วยสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการขับขี่ (Enveloping Effect) ที่ครอบคลุมไปถึง แผงประตู (Door Panel) และ Central Tunnel สําหรับในส่วนพื้นที่ฝั่งผู้โดยสารก็จะได้รับความรู้สึกโอบล้อมแบบเดียวกัน แต่น้อยกว่าและไม่ชัดเท่าฝั่งผู้ขับ
- การเชื่อมต่อรองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto® พร้อมระบบ ชาร์จไร้สายสําหรับสมาร์ทโฟน ที่ฝังอยู่ใน Central Tunnel รถยนต์ยังติดตั้ง MyFerrari Connect System ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบสภาพรถจากระยะไกลผ่าน (เป็นต้น)


เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta)
- ระบบ FIVE (Ferrari Integrated Vehicle Estimator) คือการพัฒนาครั้งสําคัญของการควบคุมสมรรถนะตัวรถ โดยเป็น ระบบประมาณค่าที่สามารถสร้าง Digital Twin เพื่อจําลองพฤติกรรมของรถแบบเรียลไทม์ โดยอ้างอิงจากแบบจําลองทาง คณิตศาสตร์ที่ถูกทําให้ง่ายขึ้นและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง (ค่าอัตราเร่ง, เซนเซอร์ 6D) FIVE สามารถประเมินคุณลักษณะ
- ด้านสมรรถนะที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรงอย่างแม่นยํา เช่น ความเร็ว (คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 กม./ชม.) และมุมการหมุนรอบ แกนตั้งหรือ Yaw Angle(คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1°) ของรถ ช่วยให้การควบคุมการยึดเกาะ ระบบเฟื องท้ายไฟฟ้า (Electronic Differential Management) และการส่งกําลังของระบบ e4WD มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ค่าประมาณเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยัง ระบบควบคุมสมรรถนะทั้งหมดของตัวรถ ทําให้การตอบสนองมีความแม่นยําและเสถียรยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ABS Evo ใช้ค่าประมาณจาก FIVE เพื่อตรวจหาอัตราการลื่นไถลที่เหมาะสมของล้อทั้งสี่และปรับสมดุลการ กระจายแรงเบรก ระบบนี้ทํางานในทุกตําแหน่งของ Manettino และในทุกสภาพการยึดเกาะ การประเมินความเร็วที่แม่นยําขึ้นทําให้สามารถใช้ประโยชน์จากแรงตามแนวยาวของยางได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในสถานการณ์การเบรกตรง ๆ และการเบรกร่วมกับการเข้าโค้ง (Brake Then Turn-In) ช่วยลดความสูญเสียที่เกิดจากความคลาดเคลื่อนของชิ้นส่วนหรือความแปรผันจากสภาพแวดล้อม ผลลัพธ์ที่ได้คือการเบรกที่ลึกขึ้น หนักขึ้น และสามารถทําซํ้าได้แม่นยํายิ่งกว่า SF90 Stradaleพร้อมประสิทธิภาพของการควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่สูงกว่ารถในตระกูล Ferrari รุ่นใด ๆ
- ระบบเบรก (Braking System) ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดเพื่อตอบสนองต่อสมรรถนะที่สูงขึ้น มาพร้อมจานเบรกและผ้าเบรกขนาดใหญ่ขึ้นรอบคัน โดยที่จานเบรกคู่หน้ามี ช่องระบายอากาศ (Ventilation Channels) ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่ คาลิเปอร์หลัง (Rear Callipers) รุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการความร้อนและความแข็งแรงเชิงโครงสร้าง การทํางานร่วมกันของชิ้นส่วนเหล่านี้ช่วยรับประกันทั้งประสิทธิภาพด้านความร้อน ความแข็งแรง และสมรรถนะที่คงที่แม้ภายใต้การใช้งานอย่างต่อเนื่อง
- Ferrari 849 Testarossa มาพร้อมการเซ็ตอัพช่วงล่างเฉพาะ (Dedicated Suspension Setup) และมุมคิเนแมติก (Kinematic Angles) ที่ถูกปรับแต่งเพื่อการควบคุมที่แม่นยําเมื่อถึงขีดสุดของการขับขี่ สมรรถนะด้านอัตราเร่งในแนวขวางเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับ SF90 Stradale จากการใช้ยางรุ่นใหม่และการปรับเซ็ตอัพเฉพาะ อีกทั้งยังช่วยลดนํ้าหนักของคอยล์สปริง (Road Springs) ลงได้ถึง 35% ค่าการโคลงตัว (Roll Gradient) ลดลง 10% ส่งผลให้การควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวถังดีขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์และ Dynamic Camber การทํางานของโช้กอัพ (Shock Absorber Damping) ได้รับการปรับแต่งทั้งจากการจําลองเสมือนและการทดสอบจริง เพื่อสะท้อนพฤติกรรมของรถทั้งในการขับบนถนนและในสนามแข่ง (เป็นต้น)
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่
(ADAS) ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ได้รับการบูรณาการเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย โดยจะเข้ามาทํางานเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน และด้วยวิธีที่รบกวนการขับขี่น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เฉพาะเมื่อผู้ขับต้องการจริง ๆ ระบบทั้งหมดสามารถปรับแต่งได้เต็มรูปแบบผ่านเมนูบน Instrument Cluster ฟี เจอร์หลักประกอบด้วย:
- Adaptive Cruise Control พร้อม Stop & Go ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่สามารถรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าได้อย่างปลอดภัย และสามารถหยุดและออกตัวใหม่เองในสภาวะการจราจรหนาแน่น
- Automatic Emergency Braking ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ช่วยชะลอหรือหยุดรถเมื่อมีความเสี่ยงการชน โดยสามารถตรวจจับนักปั่นจักรยาน ได้ด้วย เพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้ถนนร่วม
- Blind Spot Detection ระบบตรวจจับวัตถุในมุมอับสายตา แจ้งเตือนผู้ขับเมื่อมีรถอยู่ด้านข้างเพื่อป้องกันการเปลี่ยนเลนที่ไม่ปลอดภัย
- Lane Departure Warning ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว เพื่อช่วยให้ผู้ขับรักษาตําแหน่งรถให้อยู่ในเลน
- Lane Keeping Assist ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน โดยจะส่งแรงเล็กน้อยที่พวงมาลัยเพื่อช่วยควบคุมทิศทางอย่างนุ่มนวล
- Automatic High Beam ระบบปรับไฟสูง-ตํ่าอัตโนมัติ เพื่อมอบทัศนวิสัยที่ดีที่สุดในเวลากลางคืนโดยไม่รบกวนรถคันอื่น
- Traffic Sign Recognition ระบบจดจําป้ายจราจร เช่น จํากัดความเร็ว หรือป้ายห้ามแซง และแสดงผลบนหน้าปัดเพื่อให้ผู้ขับรับทราบ
- Surround View ระบบกล้องมุมมองรอบคัน 360 องศา เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่และการจอดในพื้นที่แคบ
- Rear Cross Traffic Alert ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งตัดผ่านด้านหลังในขณะถอยรถ ลดความเสี่ยงจากการชนในมุมอับสายตา
- Driver Fatigue Monitoring ระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับโดยวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ หากตรวจพบสัญญาณความอ่อนล้า ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับพักผ่อน (เป็นต้น)
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
- Ferrari F40 ที่มีอยู่เพียง 19 คันในโลก
- MICHELIN Pilot Sport Cup 2 R K1 ยางสำหรับ Ferrari F80 โดยเฉพาะ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน




ความคิดเห็น