จับตาปี 2569 จุดเปลี่ยนยานยนต์ไทย ภาษีสรรพสามิตใหม่บังคับใช้ ตลาด EV แข่งเดือด สรยท. ระดมกูรูผ่าทางรอดอุตสาหกรรมรถยนต์
ปี 2569 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยถึงจุดเปลี่ยน ตลาด EV แข่งขันดุเดือด - ภาษีใหม่บังคับใช้
สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) จัดเสวนาใหญ่ในงาน Motor Expo ครั้งที่ 42 หัวข้อ “อนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2569 : นโยบาย ทิศทางและการแข่งขัน” โดยระดมสมองกูรูจากภาครัฐและเอกชน ทั้ง สศอ., TAIA และ EVAT มาร่วมวิเคราะห์ทิศทางตลาดรถยนต์ไทยที่กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

2569 จุดเปลี่ยนยานยนต์ไทย รับมือโครงสร้างภาษีใหม่
สำหรับในปี 2569 นางสาวพธู ทองจุล (สศอ.) ระบุว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งบวกและลบต่อผู้ผลิต โดยมีเกณฑ์การคิดภาษีที่พิจารณาจากขนาดเครื่องยนต์, ปริมาณการปล่อย CO2, การใช้ชิ้นส่วนในประเทศ, มาตรฐานความปลอดภัย และการติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรถยนต์ที่ไม่เข้าร่วมโครงการ หรือไม่มีระบบ ADAS ตามกำหนด (เช่น HEV, MHEV บางรุ่น) อาจเจอภาษีปรับขึ้นแบบขั้นบันได
ข้อดีคือ หากทำตามเงื่อนไข เช่น มีการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ในไทย, ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ จะได้รับการลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะกลุ่มรถปิกอัพบางยี่ห้ออาจเสียภาษีเพียง 2-3% เท่านั้น และสำหรับตลาด EV จะยังคงได้รับการสนับสนุนต่อเนื่องภายใต้มาตรการ EV 3.0 และ 3.5
ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย และการแข่งขัน
ในส่วนของการผลิตและการตลาดของอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย เน้นไปในเรื่องของการส่งออกทดแทนตลาดในประเทศที่ซบเซา นายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล (TAIA) เผยว่า แม้ไทยจะเป็นผู้ผลิตอันดับ 10 ของโลก แต่ปี 2567 ยอดผลิตลดลงเกือบ 20% สวนทางกับจีนที่เติบโตขึ้น ดังนั้นจึงมีการปรับกลยุทธ์ โดยให้ผู้ผลิตหันมาเน้นการส่งออก (สัดส่วน 80%) ไปยังเอเชีย, ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง เพื่อชดเชยยอดขายในประเทศที่ชะลอตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและดอกเบี้ย
ความท้าทายก็คือ ตลาดส่งออกหลักอย่างออสเตรเลียเริ่มได้รับผลกระทบจากรถ EV ของประเทศจีน และกฎหมาย CO2 ในขณะที่ไทยยังเน้นส่งออกรถสันดาป (ICE) เป็นหลัก ซึ่งแนวโน้มในปี 69 คาดว่าตลาดจะเติบโตขึ้นเล็กน้อยตาม GDP แต่รัฐต้องเร่งเจรจาการค้าเพื่อช่วยภาคส่งออก

ตลาด EV แข่งขันดุเดือด
รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล (EVAT) ชี้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 15.6% (ตั้งแต่เดือน มกราคม - กรกฏาคม 2568) ซึ่งมียอดจดทะเบียนสะสมกว่า 2.2 แสนคัน เนื่องจากมาตรการรัฐโครงการ EV 3.0 กำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2568 (แต่ยังสามารถจดทะเบียนได้ถึง มกราคม 2569) หลังจากนั้นจะเปลี่ยนมาขับเคลื่อนด้วยโครงการ EV 3.5 ต่อไป
สำหรับการแข่งขันของปี 2568 ได้มีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำตลาดกว่า 100 รุ่น ทำให้เกิดสงครามราคาที่รุนแรง และจะเริ่มขยับไปแข่งกันที่เทคโนโลยีและความสะดวกสบายในอนาคต จุดอ่อน ณ ขณะนี้ก็คือ แม้ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะมีความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีสถานีชาร์จที่ไม่เพียงพอ โดยมีเพียง 3,800 แห่ง แบ่งออกเป็น 10,000 หัวชาร์จ คิดเป็นสัดส่วน 30 คันต่อ 1 หัวชาร์จ ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอและทั้งหมดนี้ก็ไปกระจุกตัวแค่ในเมืองใหญ่เท่านั้น
สรุปก็คือ ในปี 2569 นี้จะเป็นปีแห่งการปรับตัวครั้งใหญ่ ผู้ผลิตต้องเร่งปรับสเปกรถให้เข้ากับโครงสร้างภาษีใหม่ที่เน้นความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ตลาดรถ EV จะแข่งกันดุเดือดขึ้นท่ามกลางความท้าทายเรื่องสถานีชาร์จ ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจและยอดขายรถยนต์ยังต้องพึ่งพาการส่งออกและมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐเป็นสำคัญ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน

ความคิดเห็น