One day in Ratchaburi with MG GS 1.5 Turbo
วันหยุดสุดขีดกับ 3 แหล่งท่องเที่ยวสุดคูลในจังหวัดราชบุรี ที่ต้องบอกเลยว่าจังหวัดนี้ไม่ได้มีดีแค่ โอ่ง นะจ๊ะ
คงจะเป็นอีกหนึ่งกิจวัตรสำหรับคนกรุงในยุคนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับการใช้ชีวิตในกรุงที่แสนจะวุ่นวาย อึดอัด จะเดินทางไปที่ใดแต่ละที่ต้องเผื่อเวลาชนิดที่เรียกว่าล่วงหน้ากันเป็นชั่วโมง แต่จะทำยังไงได้เพราะหน้าที่หลักๆ ก็ต้องใช้ชีวิตในกรุงทั้งสิ้น
พอมาถึงช่วงเวลาวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ที่ทุกคนต้องการการพักผ่อน อยากไปเที่ยวตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ก็ไม่วายเจอกับผู้คนมากมายเพราะวิถีชีวิตคนเมืองที่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันใช้ แย่งกันเที่ยว ไปซะทุกเรื่อง
วันหยุดเสาร์นี้ผมจึงเกิดแผนที่จะหลีกหนีบรรยากาศเหล่านี้ อยากสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ ต้องการความเงียบสงบบ้าง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี แน่นอนเพื่อนข้างโต๊ะผมตะโกนมา ไป ราชบุรี ดิ ความคิดแว็บแรกขึ้นมาจะให้ไปซื้อโอ่งหรอ? หลังจากนั้นเพื่อนตอบกลับมาสั้นๆ เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวพาไป !
และนั่นก็เป็นที่มาของเรื่องราวที่อยากจะมาแชร์ในวันนี้สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังคงมีความคิดแบบผมว่าไปราชบุรี มีอะไรเที่ยว วันนี้มีแหล่งเที่ยวเด็ดๆ มาฝากซึ่งต้องบอกเลยว่าหลังจากไปพบมากับตนเองต้องเปลี่ยนความคิดไปจริงๆ
เริ่มต้นกันวันเสาร์เช้ามืด ด้วยความอยากเที่ยวและไม่อยากรถติดจึงนัดกันตั้งแต่ ตี5 เลยทีเดียว เมื่อสมาชิกครบ ทุกอย่างพร้อม จะรออะไรหละ ลุยดิวัยรุ่น โดยพาหนะที่เราใช้เดินทางในวันนี้เรามากับพี่ใหญ่อย่าง MG GS 1.5 Turbo คันใหญ่เดินทางสบายแน่นอน !!
ระหว่างทางการเดินทางสำหรับพวกเราวัยรุ่นยุคโซเชียลผู้เสพติดโลกออนไลน์ขนาดที่ว่าวันไหนไม่ได้เข้าแทบจะขาดใจตาย55 ในช่วงขับรถยนต์ก็มีบางช่วงที่ขับเข้าป่า ขึ้นเขา ทำความเร็วสัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเตอร์บางช่วงก็จับไม่ทันทำให้พลาดบ้าง เล่นไม่ได้บ้าง
แต่ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปเนื่องจาก MG GS สามารถแชรสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้ได้ใช้กันทั้งคันอีกด้วย ยิ้มกริ่มกันเลยทีเดียวทั้งผม ทั้งคุณเพื่อน อยากจะอัพสเตตัส อยากจะโพสรูปสบายๆ แต่จะให้ดีระหว่างขับขี่รถยนต์อย่าเล่นนะจ๊ะ เดี๋ยวจะเพลินแล้วจะหาว่าไม่เตือน
เมื่อถึงตัวจังหวัดราชบุรีต้องยอมรับว่าระหว่างทาง มีพื้นที่ให้แวะจอดถ่ายรูปเยอะแยะมากมายถูกใจสายโพสต์ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ยังไม่ขอแวะจุดมุ่งหมายแรกที่ต้องไปให้ถึงก่อน 10 โมงเช้าคือ แก่งส้มแมว อำเภอ สวนผึ้ง
หลายคนไม่คุ้นชื่อ รวมถึงผมด้วยเนื่องจากมา ราชบุรี และอยากเล่นน้ำตกที่ไรก็ต้องแวะเข้าไปน้ำตกเก้าชั้น ทุกครั้ง วันนี้จึงเป็นการเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ สำหรับแก่งส้มแมว มีระยะห่างจากตัวอำเภอสวนผึ้งราวๆ 25 กม.
และก็อย่างที่กล่าวไประยะทางระหว่างเดินทางจากตัวอำเภอเมืองจนถึงแก่งส้มแมว วิวทิวทัศน์ต้องบอกว่าสุดยอด ทิวเขาสลับกับป่าไม้ ไร่สวนต่างๆ ของชาวบ้าน ชวนให้เปิดกระจกขับรถรับลมสูดอากาศกันอย่างเต็มปอด
แก่งส้มแมว น่าจะถูกอกถูกใจสายน้ำตก จะตั้งใจมาเล่น มานั่งเอาขาแช่น้ำชิลๆ สูดอากาศดีๆ ให้เต็มปอด หรือจะมาปิกนิกส์กันแบบครอบครัวก็สามารถทำได้ ด้วยการตั้งในพื้นที่ศูนย์ศึกษาพรรณไม้ป่า สมเด็กพระนางเจ้าสิริกิติ์ นอกจากจะมีน้ำตกสวยๆ ยังมีพรรณไม้ป่าต่างๆ มากมาย
สายถ่ายรูปก็น่าจะชอบเนื่องจาก มุมและวิวดีๆ ต้องบอกว่ามีเพียบเลยทีเดียว จะเดิน จะนั่งตรงไหนก็สามารถหามุมดีๆ ถ่ายลงโซเชียลอวดเพื่อนๆ กันได้ไม่ยากลำบากมากมายนัก เอาเป็นว่าต้องมาโดนกันเอง สำหรับผมต้องมีรอบ 2 แน่นอนสำหรับสถานทีแห่งนี้
สำหรับแก่งส้มแมวก็บริการที่จอดรถฟรีๆ บริเวณลานหน้าแก่ง พร้อมทั้งยังมีร้านขายของไม่ว่าจะเป็นอาหาร ขนมนมเนย เครื่องดื่ม ต่างๆ นาๆ มากมายช่วยกันอุดหนุนชาวบ้านที่นำของมาขายกันได้เลย
หลังจากเดินเล่น เดินถ่ายรูปกันจนเพลินล่วงเลยไปหลาย ชั่วโมงท้องเริ่มร้องแล้วหละทีนี้ทำยังไงดี เมื่อทุกคนในทริปต่างลงความเห็นกันว่าอยากหาร้านใกล้ๆ เอาแบบชิคๆ ถ่ายรูปสวยๆ ไปถ่ายอวดเพื่อนๆ ในเฟสบุ๊ค จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนเราจะถึง แก่งส้มแมว ได้ขับผ่านฟาร์มแกะชิคๆ อยู่ที่นึง เราจึงเดินทางย้อนกลับไปเพื่อจะไปสำรวจว่าเป็นยังไง
เมื่อขับย้อนมาถึงจุดที่พอสังเกตุได้ก็พบจนได้กับ The Scenery Vintage Farm ฟาร์มแกะสุดชิคที่มีการตกแต่งสถานที่ท่องเที่ยวเป็นแบบ One Day Trip พร้อมเปิดบริการทุกวัน และถือว่าเป็น อีกจุดหนึ่งที่ต้องแวะหากใครแวะมา สวนผึ้ง
การตกแต่งเริ่มตั้งแต่หน้าทางเข้าเน้นการตกแต่งตามสไตล์ English Country การตกแต่งร้านค้า สถานทีต่างๆ น่ารักเหมาะแก่การถ่ายรูปสุดๆ อีกทั้งเรายังสามารถซื้อแพคเกจทำกิจกรรมในฟาร์มเช่น เกมยิงธนู ขี่ม้า หรือจะให้อาหารแกะ ก็น่ารักไปหมดทุกอย่าง
บริเวณด้านหน้าฟาร์มแบ่งเป็นโซนลานจอดรถสามารถรองรับรถได้จำนวนหนึ่ง ถัดมาจากลานจอดรถเป้าของเที่ยงวันนี้ของเราคือร้านอาหาร Honey Scene Steak&Bar ที่เค้าล่ำลือกันมาว่ามีเมนูเด็ดๆ หลายอย่างที่ต้องโดน
ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากสั่งปุ๊ปลุยกันเลยทันที แต่ละเมนูเด็ดๆ ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ซีซาร์สลัดเบค่อนกรอบ สปาเก็ตตี้ผัดพริกเบค่อน แล้วก็เมนูประจำชาติคือ ฟิช แอนด์ ชิพส์ เคียงกับเครื่องดื่มผลไม้ปั่นเพิ่มเติมความสดชื่นทั้ง แตงโมปั่น สัปปะรดปั่น และชามะนาวปั่น
โดยรวมทั้งบรรยากาศ การบริการของพนักงานที่ยิ้มแย้ม รวมไปถึงรสชาติอาหารจัดว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี ประใจกันไป ใครจะพาครอบครัวมานั่งชิลๆ ทานอาหารอร่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศแบบ English Country ก็ไม่เลว หรือจะพาคุณแฟนมาฮันนี่มูนก็ประทับใจแน่นอน ร้านนี้จัดว่าต้องโดนอีกร้านเมื่อมา สวนผึ้ง ราชบุรี ครับผม
ต่อมากับสถานทีฮิปๆ ใครสายถ่ายรูปห้ามพลาดเลยทีเดียวกับ บ้านหอมเทียน สวนผึ้ง สถานที่แวะถ่ายรูป หาของฝาก ของที่ระลึก หรือจะร่วมกิจกรรมทำเทียนด้วยตนเอง หรือจะเดินขึ้นไปนั่งจิปกาแฟชิลๆ ด้านบนก็ไม่เลว
ด้วยกลิ่นอายของเทียนหอมอ่อนๆ ที่ตลบอบอวลอยู่ทั่วพื้นที่ พร้อมการตกแต่งตามสไตล์วินเทจ และศิลปะร่วมสมัยมากมาย ทำให้การเดินเที่ยวชมภายในสถานที่แห่งนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว เดินชิลๆ แป๊ปเดียวก็เป็นชั่วโมงๆ แล้ว
ภายในมีมุมเก๋ๆ ชิคๆ มากมายให้ทุกคนได้สร้างสรรค์มุมถ่ายรูปกันอย่างเต็มที่ ด้านบนมีมุมยอดฮิตอีกหนึ่งแห่งที่ตกแต่งวอลเปเปอร์ด้วยปิ๊ปใส่ลูกอมที่มีการสะสมมาตั้งแต่โบราณ บางแบรนด์ผมไม่เคยเห็นเลยก็ยังมี การตกแต่งสลับสีของโหลกันได้อย่างสวยงามเหมาะแก่การเก็บภาพเป็นที่ระลึกอย่างมาก
บริเวณด้านบนมีร้านกาแฟที่ติดกับวิวชมทิวเขาสุดลูกหูลูกตา สวยงามไม่เบา แก้วที่ใช้ใส่กาแฟก็สุดคูลด้วยการนำกระบอกไม้ไผ่มาร้อยเชือกตัดเป็นแก้วใส่ให้เราทานเก๋ๆ อีกด้วย นับว่าไอเดียดีไม่เบา หลังจากชมทิวทัศน์ นั่งชิลๆ ก็ถึงเวลาเดินทางต่อกกับฟาร์มเมล่อนสไตล์ญี่ปุ่นสุดฮิตที่ต้องแวะอีกที่คือ Coro Field นั่นเอง
แม้จะเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ก็นับว่าค่อนข้างมีชื่อเสียง ใครผ่านไปผ่านมาต้องแวะ ด้วยความที่มีจุดเด่นหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น เมล่อนสายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ต้องยอมรับว่ารสชาติดีมากๆ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายในฟาร์มก็ล้วนแล้วแต่น่ารัก และน่าสะสมไปซะทุกอย่าง
ภายในฟาร์มยังมี เวิร์คช็อปสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผักด้วยตนเอง โดยทางฟาร์มจะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำและสอนวิธีการปลูกผักทุกขั้นตอน เมื่อปลูกเสร็จยังมีการสลักชื่อไว้ให้เป็นที่ระลึกว่าเจ้าผักน้อยต้นนี้เป็นฝีมือปลูกของเราอีกด้วย
นอกจากเมล่อนยังมีมะเขือเทศเชอร์รี่ ที่รสชาติดีอีกด้วยใครจะแวะซื้อกลับไปฝากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ก็ถือว่าเป็นของฝากที่ยอดเยี่ยมทีเดียวเลยแหละ หรือจะแวะประดิษฐ์กระถางต้น บอนไซ บริเวณด้านในก็สามารถทำได้ หรือจะซื้อกลับไปปลูกที่บ้านก็น่าสนใจ
มาถึงด้านหน้าฟาร์มที่จัดตั้งเป็นร้านอาหาร เมนูแต่ละชนิคจะใช้วัตถุดิบจากในฟาร์มโดยเฉพาะในการมาประกอบอาหาร รสชาติแต่ละเมนูก็ถือว่ายอดเยี่ยม โดยเฉพาะไอซครีมเมล่อน หรือจะเป็นชาเมล่อน อันนี้ถือว่าต้องลองถ้าแวะเข้ามาจริงๆ ห้ามพลาด !!
หลังจากตะเวนเที่ยวกันเรียบร้อย ชาร์จแบตชีวิต ฟอกปอด เติมพลังกันเต็มที่ก็ถึงเวลากลับเมืองกรุงไปสู้ชีวิตกันต่อไป ระหว่างทางมีการแวะจุดธรรมชาติต่างๆ ถ่ายรูปกันเมื่อถ่ายเสร็จดันจำทางออไม่ได้
ยังดีที่ MG GS มีระบบนำทางที่เราสามารถหาเส้นทางออกมาได้ โดยง่ายดาย ด้วยการใช้งานที่ไม่ยากเย็น ซึ่งถ้ามีเหตุขัดข้องจริงๆ ระบบ inkaNet ก็มีฟังก์ชั่นโทรด่วนหาคอลเซ็นเตอร์เพื่อแจ่งขอความช่วยเหลือได้ทันที่ นับว่าเป็นระบบที่ดีอีกระบบของรถยนต์คันนี้
ระหว่างทางขับรถกลับด้วยการโดยสารที่ใหญ่ สะดวกสบายทุกที่นั่ง เพื่อนๆ ผู้ร่วมทริปของผมทั้ง 2 ท่านก็เป็นเพื่อนร่วมทริปที่ดี หลับกันหมดทั้งคันปล่อยผมขับกลับคนเดียว อาจจะด้วยความเหนื่อยล้า บวกกับความสะดวกสบายในการโดยสาร ของ MG GS
ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 เทอร์โบ นับว่าจี๊ดจ๊าดมากสามารถกดเร่งแซงได้ทุกจังหวะที่ต้องการ ทันใจไม่ต้องรอรอบ ระบบช่วงล่างปรับปรุงมาใหม่ หนึบแน่น ไว้ใจได้ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสบายในการโดยสาร และจุดเด่นที่ทุกคนน่าจะชอบคือ อัตราความประหยัด
บอกเลยขับลุยทั้งวัน น้ำมันยังไม่หมดถังยังเหลือให้วิ่งอีกสบายๆ ตามภาพเลยทีเดียว ก็นับว่าเป็น SUV ที่น่าสนใจกับราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายๆ ไม่ถึงล้าน ถึงกรุงเทพก็แยกย้ายกันพักผ่อนพร้อมลุยชีวิตในกรุงกันต่อไป แต่บอกเลยหลังจากเติมพลังกันเต็มที่แล้ว งานนี้สู้ได้อีกยาวๆ เลยครับเพื่อนๆ !!
ขอขอบคุณ เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย สำหรับ MG GS 1.5 Turbo เพื่อนคู่ใจในการเดินทางในวันนี้ด้วยครับ
ติดตามข่าวสารอัพเดตเพิ่มเติม ได้ที่นี่
ค้นหารถยนต์มือสองสภาพดีการันตีจาก วันทูคาร์ ได้ทีนี่
ความคิดเห็น