รถ เป็นสิ่งที่หลายๆ คนมีความต้องการอยากได้มาครอบครอง เพราะมันช่วยทำให้การใช้ชีวิตมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่จะรู้ได้ไงว่ารถคันนั้น มีความจำเป็นมากแค่ไหน หากคิดว่าจำเป็น แล้วต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงเหมาะสม?
เรื่องต้องทราบ ก่อนซื้อรถ
สิ่งที่ต้องทราบก่อนซื้อรถสักคัน นั่นคือการประเมินถึงความจำเป็นในการซื้อรถของเราว่า "มันมีความจำเป็นต้องมีรถจริงๆ หรือไม่?" หากคุณอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งมีระบบขนส่งสาธารณะที่หลากหลายอยู่แล้ว อาทิเช่น รถไฟฟ้า, รถเมล์, แท็กซี่, มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งบางครั้งอาจสะดวกและประหยัดกว่าการใช้รถยนต์ส่วนตัว
หากเราพิจารณาแล้วว่า การใช้รถช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ลดเวลาเดินทางไปทำงาน/ส่งลูก, ทำให้ไปทำธุรกิจได้สะดวกขึ้น, หรือใช้ขนส่งสินค้าถึงจำเป็นจริงๆ เรามาเริ่มวางแผนกันว่าจะตัดสินใจซื้อรถแบบไหนดี?
รถที่เหมาะสม ควรเป็นรุ่นไหน?
การเลือกรถที่เหมาะสมนั้น ควรคำนึงถึง "รูปแบบการใช้งาน และงบประมาณ" เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าซื้อรถมาไม่ถูกโจทย์การใช้งาน คุณก็อาจจะไม่ค่อยได้ใช้งานมัน และโจทย์ที่สำคัญคืองบประมาณ ต้องสอดคล้องกันกับรายได้ประจำของคุณ เพื่อทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ใช่เป็นภาระทางการเงินก้อนใหญ่ ที่อาจสร้างปัญหาได้ในอนาคต
วางแผนการเงิน เพื่อซื้อรถ
การวางแผนการเงินก่อนซื้อรถ เป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ เพราะมันทำให้คุณสามารถรู้ได้ว่า คุณเหมาะสมกับรถแบบไหน ในงบประมาณเท่าใด เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางการเงินที่ใหญ่เกินไปในอนาคต
โดยทั่วไปแล้วควรคำนึงมาจากรายจ่ายต่อเดือนที่คุณมี อาทิเช่นค่าเช่า/ผ่อนบ้าน, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ
หักลบเข้ากับรายได้ต่อเดือนในปัจจุบัน เพื่อมาดูกันว่าคุณมีเงินคงเหลือเพียงพอที่จะซื้อรถได้ไหม หากซื้อจะเป็นรูปแบบซื้อเงินสด หรือจัดไฟแนนซ์
โดยการซื้อรถแบบจัดไฟแนนซ์ เป็นรูปแบบการซื้อรถที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ออกไป ก็สามารถได้รถมาใช้งานก่อนได้เลย และใช้วิธีการผ่อนชำระเป็นรายเดือนไป
ซึ่งค่างวดการผ่อนชำระรายเดือนนั้น ไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ประจำของคุณ เพราะอย่าลืมว่าการซื้อรถสักคัน ไม่ได้จบแค่ค่างวดผ่อนชำระ แต่ยังมีเรื่องของค่าบำรุงรักษา, ค่าประกันภัย และภาษีอีกด้วย
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เราจะยกตัวอย่างจากพนักงานบริษัทที่ทำงานในกรุงเทพฯ เงินเดือน 20,000 บาท
ขั้นตอนการวางแผนการเงิน เพื่อซื้อรถ
- ประเมินรายรับ-รายจ่ายในปัจจุบันอย่างละเอียด
- กำหนดงบประมาณสำหรับซื้อรถและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
- การออมเงินเพื่อจ่ายเงินดาวน์ หรือซื้อเงินสด รวมถึงค่าใช้จ่ายเบื้องต้น
- การบริหารหนี้สิน
- เงินสำรองฉุกเฉิน
ขั้นตอนการวางแผน:
1. ประเมินรายรับ-รายจ่ายปัจจุบันอย่างละเอียด:
- รายรับ: 20,000 บาท
- รายจ่าย: ต้องเขียนออกมาให้หมดว่าแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง (ค่าเช่า/ผ่อนบ้าน/หอ, ค่าเดินทางปัจจุบัน, ค่าอาหาร, ค่าโทรศัพท์, ค่าใช้จ่ายส่วนตัว, ค่างวดหนี้อื่นๆ)
- เงินเหลือต่อเดือน: (รายรับ - รายจ่าย) เพื่อดูว่ามีเงินเหลือเก็บเท่าไหร่
ตัวอย่างการประเมินรายจ่าย (สมมติ):
- ค่าที่พัก (หอพัก/ห้องเช่า): 5,000 บาท
- ค่าเดินทาง (BTS/MRT/รถเมล์): 2,000 บาท
- ค่าอาหาร: 6,000 บาท
- ค่าโทรศัพท์/อินเทอร์เน็ต: 500 บาท
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว (ช้อปปิ้ง, สันทนาการ): 2,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด/ฉุกเฉิน: 1,000 บาท
- รวมรายจ่ายโดยประมาณ: 16,500 บาท
- เงินเหลือต่อเดือน: 20,000 - 16,500 = 3,500 บาท
2. กำหนดงบประมาณสำหรับรถยนต์และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง:
สำหรับเงินเดือน 20,000 บาท การซื้อรถใหม่ราคา 500,000-600,000 บาท อาจจะตึงมากครับ โดยทั่วไป ค่างวดผ่อนรถยนต์ไม่ควรเกิน 30-40% ของเงินเดือน แต่สำหรับเงินเดือน 20,000 บาท อาจจะต้องพิจารณาให้ค่างวดอยู่ในระดับที่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะตามมาได้ด้วย
ค่าใช้จ่ายหลักที่ต้องพิจารณา:
- เงินดาวน์: แนะนำให้มีเงินดาวน์อย่างน้อย 15-20% ของราคารถ เพื่อลดภาระค่างวดต่อเดือน
- ถ้าซื้อรถ 500,000 บาท ควรมีเงินดาวน์ 75,000 - 100,000 บาท
- ถ้าซื้อรถมือสองราคา 200,000 บาท ควรมีเงินดาวน์ 30,000 - 40,000 บาท (ซึ่งจะเหมาะสมกว่า)
- ค่างวดผ่อนรถ:
- สมมติผ่อนรถ 400,000 บาท (ส่วนที่เหลือจากเงินดาวน์) ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ผ่อน 7 ปี (84 งวด)
- ค่างวดจะตกประมาณ 5,000 - 6,000 บาทต่อเดือน (ตัวเลขจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อน)
- ค่าประกันภัยรถยนต์: ปีละประมาณ 15,000 - 25,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประเภทรถและประเภทประกัน) หรือเฉลี่ยเดือนละ 1,250 - 2,000 บาท
- ค่าภาษีรถยนต์และ พ.ร.บ.: ปีละประมาณ 1,500 - 3,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์) หรือเฉลี่ยเดือนละ 125 - 250 บาท
- ค่าพลังงาน: ขึ้นอยู่กับการใช้งานในแต่ละวันและราคาเชื้อเพลิง (สมมติวิ่งในเมือง 500-1,000 กม./เดือน) อาจตกเดือนละ 2,000 - 4,000 บาท หรือถ้าเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ค่าพลังงานจะอยู่ที่ 250 - 500 บาท/เดือน หรือถ้าเป็นรถจักรยานยนต์ ก็จะอยู่ที่ 500 - 1,000 บาท/เดือน
- ค่าบำรุงรักษาและซ่อมบำรุง: โดยเฉลี่ยปีละ 5,000 - 10,000 บาท หรือเดือนละ 400 - 800 บาท สำหรับรถใหม่ช่วงแรกจะมีค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า ส่วนรถมือสอง จะมีค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า ในกรณีได้รถที่อาจมีสภาพไม่สมบูรณ์มาก หรือมีอายุมาก
- ค่าที่จอดรถ: ในกรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้สูงมาก โดยเฉพาะในย่านธุรกิจหรือคอนโดมิเนียม บางครั้งอาจถึงเดือนละ 1,000 - 2,000 บาท หรือมากกว่านั้น
- ค่าทางด่วน: หากใช้ทางด่วนบ่อยๆ ก็เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่ต้องคำนึงถึง
- ค่าล้างรถ/ดูแลรถ: เดือนละ 300 - 500 บาท
รวมค่าใช้จ่ายรถยนต์ต่อเดือน (โดยประมาณ):
- ค่างวดผ่อน: 5,000 - 6,000 บาท
- ประกันภัย (เฉลี่ย): 1,500 บาท
- ภาษี/พ.ร.บ. (เฉลี่ย): 200 บาท
- ค่าน้ำมัน: 2,000 - 4,000 บาท
- ค่าบำรุงรักษา (เฉลี่ย): 500 บาท
- ค่าที่จอดรถ: 1,000 - 2,000 บาท (ถ้ามี)
- รวมประมาณ: 10,200 - 15,700 บาท (ยังไม่รวมค่าทางด่วน/ล้างรถ)
จะเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ต่อเดือนค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับเงินเดือน 20,000 บาท
3. การออมเงินเพื่อเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายเริ่มต้น:
จากตัวอย่างสมมติ มีเงินเหลือเก็บเดือนละ 3,500 บาท
- ถ้าต้องการเงินดาวน์ 75,000 บาท จะใช้เวลาเก็บเงินประมาณ 75,000/3,500 = 21.4 เดือน (เกือบ 2 ปี)
- ระหว่างนี้ อาจต้องพยายามหารายได้เสริม หรือลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่ไม่จำเป็น เพื่อให้เก็บเงินได้เร็วขึ้น อาทิเช่น ทำงานฟรีแลนซ์ หรือขายของออนไลน์, ทำนายหน้า เป็นต้น
4. การบริหารหนี้สินและเครดิต:
- ก่อนยื่นขอสินเชื่อรถยนต์ ควรมั่นใจว่าไม่มีหนี้เสีย และประวัติเครดิตบูโรดี เพื่อทำให้การยื่นกู้สินเชื่อผ่าน
- ลดภาระหนี้สินอื่นๆ ให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระ
5. เตรียมเงินสำรองฉุกเฉิน:
- นอกเหนือจากเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายรายเดือนรถยนต์ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น ตกงาน, เจ็บป่วย, รถเสีย
ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับคนทำงานกรุงเทพฯ เงินเดือน 20,000 บาท:
- พิจารณารถยนต์มือสอง: การซื้อรถยนต์มือสองสภาพดี ราคา 200,000 - 300,000 บาท จะช่วยลดภาระเงินดาวน์และค่างวดลงได้มาก ทำให้มีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ มากขึ้น แต่ต้องพิจารณาเรื่องค่าบำรุงรักษาที่อาจจะสูงกว่ารถใหม่
- ลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น: พิจารณาลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ค่ากาแฟ, การทานข้าวนอกบ้าน, การช้อปปิ้งที่ไม่จำเป็น
- หารายได้เสริม: การหารายได้เสริม เช่น ขายของออนไลน์, สอนพิเศษ, งานฟรีแลนซ์ จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและลดระยะเวลาการเก็บเงินดาวน์
- ใช้ขนส่งสาธารณะคู่ไปกับการใช้รถ: บางวันหากเดินทางไปในเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน ก็ยังคงใช้ขนส่งสาธารณะต่อไป เพื่อประหยัดค่าน้ำมันและค่าที่จอดรถ
- คำนวณค่าเสื่อมราคา: รถยนต์มีค่าเสื่อมราคาที่ค่อนข้างสูง ต้องทำใจในส่วนนี้ด้วย
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจเรื่องใด สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน หรือพนักงานสินเชื่อของธนาคาร/บริษัทไฟแนนซ์ เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
สรุป การวางแผนการเงินเพื่อซื้อรถ
โดยสรุปแล้ว การซื้อรถยนต์ด้วยเงินเดือน 20,000 บาท ในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ต้องมีการวางแผนการเงินที่รัดกุมมาก และอาจจะต้องเสียสละบางอย่างในชีวิตประจำวันเพื่อเก็บออมเงิน สิ่งสำคัญคือการประเมินความจำเป็นและความสามารถในการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จะตามมากับการมีรถยนต์ครับ
หากเป็นไปได้ ลองพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เช่น รถยนต์มือสอง หรือรถจักรยานยนต์ ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ
Autospinn เว็บไซต์รายงานข่าวรถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า รถมอเตอร์ไซค์ เช็กวันเปิดตัวรถใหม่ ราคารถ ตารางผ่อน และรีวิวรถยนต์ รถจักรยานยนต์ โดยทีมงานมืออาชีพ
ซื้อ-ขาย รถมือสอง ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยชัวร์ ต้องที่ ตลาดรถ One2car
ความคิดเห็น