ยอดขายรถยนต์สิงหาคม 2568 ไฮบริดโตสวนกระแส กระบะทรุดต่อเนื่อง พิษเศรษฐกิจ-คุมเข้มสินเชื่อ Share this

ยอดขายรถยนต์สิงหาคม 2568 ไฮบริดโตสวนกระแส กระบะทรุดต่อเนื่อง พิษเศรษฐกิจ-คุมเข้มสินเชื่อ

Wongsupat
โดย Wongsupat
โพสต์เมื่อ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ส.อ.ท.รายงานสถิติยอดขายรถยนต์เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตรถยนต์ 112,366 คัน ลดลงร้อยละ 6.11 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 7,512 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2,034.09 ขาย 47,622 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.38  ส่งออก 71,179 คัน ลดลงร้อยละ 17.30 รายละเอียดด้านยอดขายรถไฮบริดเพิ่มขึ้น 30.43% ส่วนกระบะยังติดลบ 10.92% เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำ-ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน


ยอดขายรถยนต์สิงหาคม 2568 ไฮบริดโตสวนกระแส กระบะทรุดต่อเนื่อง พิษเศรษฐกิจ-คุมเข้มสินเชื่อ

สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนสิงหาคม 2568 ดังต่อไปนี้

ยอดขายรถยนต์สิงหาคม 2568 ไฮบริดโตสวนกระแส กระบะทรุดต่อเนื่อง พิษเศรษฐกิจ-คุมเข้มสินเชื่อ 2568

เดือนส.ค.ผลิตลดลงเทียบกับปีก่อน

จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนสิงหาคม 2568 มีทั้งสิ้น 112,366 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2568 ร้อยละ 1.58 แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 6.11 จากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลงร้อยละ 10.67 จากสิงหาคมปีที่แล้ว เพราะผลิตรถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 21.27 จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพราะความเข้มงวดในการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับในด้านความปลอดภัยของประเทศคู่ค้ารวมทั้งผลิตรถกระบะส่งออกลดลงร้อยละ 6.36 จากการเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของประเทศคู่ค้า ส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.11 จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายในปี 2565 - 2566

จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - สิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 947,697 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ร้อยละ 5.77

เดือนส.ค. 2568 ผลิตลดลงเทียบกับปีก่อน

รถกระบะขายลดลงจากพิษเศรษฐกิจและการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน

ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนสิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2568 ร้อยละ 3.01 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 5.38 จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.62 จากปีที่แล้ว รถกระบะขายได้ 10,960 คันลดลงร้อยละ 10.92 รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่าสองปีจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ

รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 30,797 คัน เท่ากับร้อยละ 64.67 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 10.96

  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 9,611 คัน เท่ากับร้อยละ 20.18 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 18.19
  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 9,246 คัน เท่ากับร้อยละ 19.42 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 26.62
  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 465 คัน เท่ากับร้อยละ 0.98 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 400
  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ REEV (Range-Extended Electric Vehicle) 244 คัน เท่ากับร้อยละ 0.51 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 100
  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 11,231 คัน เท่ากับร้อยละ 23.58 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 30.43

รถกระบะมีจำนวน 10,960 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 10.92 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 63 ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 3,576 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 34.08 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 1,191 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 4.87 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,035 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 14.74

ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 130,283 คัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ร้อยละ 9.81 และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.10 ตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2568 รถยนต์มียอดขาย 399,619 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 8 คันจากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้า

รถกระบะขายลดลงจากพิษเศรษฐกิจและการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน

หวังรัฐบาลใหม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

สำหรับรัฐบาลใหม่ของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกุล ได้แสดงความตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตมากขึ้นแ จึงขอเสนอการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะได้เก็บภาษีมากกว่าเงินที่จะจ่ายซึ่งอาจจะไม่ต้องจ่ายถ้าเศรษฐกิจดีวันดีคืน ข้อเสนอนี้เป็นของ กกร.ปีที่แล้วที่เสนอรัฐบาลตั้งกองทุนห้าพันล้านบาทเพื่อค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุนโดยจ่ายผลขาดทุนตามจริงแต่ไม่เกินคันละห้าหมื่นบาทให้กับสถาบันการเงินโดยมีข้อแลกเปลี่ยนหรือเงื่อนใขว่า สถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ให้มียอดขายรถกระบะมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 30%

ตัวอย่างสมมติปีที่แล้วขายรถกระบะ 130,000 คัน ถ้าขายมากกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย30% ปีนี้ต้องปล่อยสินเชื่อให้ขายรถกระบะให้ได้ 170,000 คัน ที่เพิ่มขึ้น 40,000 คันนี้ รัฐบาลจะค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถคันละไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงตั้งกองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากรถยึดรถกระบะเพียง 2,000 ล้านบาท (40,000คัน × 50,000 บาทค่อคัน) แต่รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตรถกระบะ 3% × 24,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 720 ล้านบาท  (ถ้าเฉลี่ยรถกระบะคันละ 600,000 บาท x 40,000 คันที่เพิ่มขึ้น)

เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%ของยอด 24,000 ล้านบาท ได้เงิน 1,680 ล้านบาท รวมเก็บภาษีสองประเภทนี้"เพิ่มขึ้น" 2,400 ล้านบาท มากกว่าเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท และยังเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ซัพพลายเชนขายได้มากขึ้น กำไรสุทธิมากขึ้น เช่นบริษัทผลิตยางล้อรถยนต์ขายยางล้อได้มากขึ้น160,000 เส้น กระจกขายได้มากขึ้น 40,000 แผ่น เครื่องปรับอากาศรถยนต์ขายมากขึ้น 40,000 เครื่อง บริษัทขายท่อไอเสียมากขึ้น 40,000 ชิ้นฯลฯ

และยังเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นจากรายได้พนักงานสถาบันการเงิน บริษัทประกันภัยและพนักงานขายรถกระบะรวมทั้งคนงานทำงานในบริษัทซัพพลายเชนที่มีรายได้เพื่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทลงทุนเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม คนงานเหล่านี้มีรายได้มากขึ้นชำระหนี้ได้มากขึ้น(หนี้ครัวเรือนลดลงอย่างแท้จริง) ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศและในประเทศลงทุนมากขึ้นและเร็วขึ้น ผลิตสินค้าส่งออกมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตเป็นวงจรขาขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นเสียที ส่วนเงินกองทุน 2,000 หรือ 5,000 ล้านบาทขึ้นกับเป้าหมายที่จะให้ขายรถกระบะเพิ่มขึ้นกี่หมื่นคันในแต่ละปี ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายในอีกสองปีข้างหน้าเมื่อยึดรถกระบะมาแล้วและประมูลขายขาดทุนแล้วเท่านั้น

หวังรัฐบาลใหม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

ส่งออกลดลง เนื่องบางประเทศเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอน

เดือนสิงหาคม 2568 ส่งออกได้ 71,179 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 1.74 และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 17.30 จากส่งออกรถกระบะใช้น้ำมันลดลงร้อยละ 14.65 และรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันลดลงร้อยละ 35.09 เพราะการเข้มงวดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของบางประเทศ

ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนสิงหาคม 2568 แบ่งเป็น ดังนี้

  • รถกระบะ 41,141 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 57.80 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 14.65
  • รถกระบะ BEV 51 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.07 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
  • รถยนต์นั่ง ICE 14,719 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 20.68 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567ร้อยละ 35.09
  • รถยนต์นั่ง BEV 1,372 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 3.01 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออกรถยนต์นั่ง BEV
  • รถยนต์นั่ง PHEV 317 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 9.20 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออกรถยนต์นั่ง BEV
  • รถยนต์นั่ง HEV 3,099 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 4.35 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 11.86
  • รถ PPV 10,480 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.72 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 10.21

มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 45,553.26 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 24.50 แต่เครื่องยนต์และชิ้นส่วนส่งออกเพิ่มขึ้นดังนี้

  • เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,445.85 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 0.63
  • ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 16,567.34 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.18
  • อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,350.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 0.73

รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนสิงหาคม 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 67,917.28 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 18.07 เดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 602,975 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 12.44

อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com

ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ