หัวชาร์จรถไฟฟ้า EV มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร ชาร์จแบบไหนดี? Share this
Lifestyle
โหมดการอ่าน

หัวชาร์จรถไฟฟ้า EV มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร ชาร์จแบบไหนดี?

Wongsupat
โดย Wongsupat
โพสต์เมื่อ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ผู้ใช้รถ EV มือใหม่หลายคนอาจยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับประเภทของหัวชาร์จว่ามีกี่แบบ แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกชาร์จแบบไหนจึงจะดีที่สุด บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจทั้งหมด


หัวชาร์จรถไฟฟ้า EV มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร ชาร์จแบบไหนดี?

หัวชาร์จรถไฟฟ้าในไทย มีกี่ประเภท?

ตารางเปรียบเทียบหัวชาร์จรถไฟฟ้าประเภทต่างๆ

ชาร์จแบบไหนดี?

ติดตั้งหัวชาร์จรถไฟฟ้า EV ที่บ้าน ต้องวางแผนยังไงบ้าง? เช็กลิสต์ครบจบในที่เดียว

หัวชาร์จรถไฟฟ้า EV มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร ชาร์จแบบไหนดี?

หัวชาร์จรถไฟฟ้าในไทย มีกี่ประเภท?

ในประเทศไทย สามารถแบ่งประเภทหัวชาร์จรถไฟฟ้าหลักๆ ได้ 2 รูปแบบใหญ่ตามประเภทของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จ คือ การชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charging) และ การชาร์จแบบกระแสตรง (DC Charging) ซึ่งแต่ละแบบจะใช้หัวชาร์จที่แตกต่างกันไป

1. การชาร์จแบบ AC (Alternating Current)

เป็นการชาร์จไฟด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งเป็นไฟฟ้าแบบเดียวกับที่ใช้ในบ้านเรือนทั่วไป การชาร์จแบบนี้จะช้ากว่าแบบ DC เนื่องจากต้องผ่านตัวแปลงไฟ (On-board charger) ที่อยู่ในรถยนต์เพื่อแปลงกระแสไฟเป็น DC ก่อนส่งเข้าแบตเตอรี่ เหมาะสำหรับการชาร์จที่บ้านหรือที่ทำงานข้ามคืน

หัวชาร์จแบบ AC ที่นิยมใช้ในประเทศไทยมี 2 แบบหลัก คือ

  • Type 1 (J1772): เป็นหัวชาร์จแบบ 5 Pin พบได้ในรถยนต์ EV รุ่นแรกๆ หรือรถที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยแล้ว
  • Type 2 (Mennekes): เป็นหัวชาร์จมาตรฐานที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในประเทศไทยและยุโรป สามารถรองรับการชาร์จได้ทั้งแบบ 1 เฟส (สูงสุด 7.4 kW) และ 3 เฟส (สูงสุด 22 kW) ทำให้ชาร์จได้เร็วกว่า Type 1

2. การชาร์จแบบ DC (Direct Current)

เป็นการชาร์จไฟด้วยไฟฟ้ากระแสตรงจากตู้ชาร์จกำลังสูง ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านตัวแปลงไฟในรถ จึงมีความรวดเร็วสูงมาก สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-80% ได้ในเวลาเพียง 30-60 นาที เหมาะสำหรับการเดินทางไกลที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จระหว่างทาง

หัวชาร์จแบบ DC ที่นิยมในประเทศไทยมี 2 แบบหลัก คือ

  • CCS2 (Combined Charging System 2): เป็นหัวชาร์จที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับรถยนต์ EV รุ่นใหม่ๆ ในประเทศไทยและยุโรป จุดเด่นคือเป็นหัวชาร์จที่รวมเอาหัวชาร์จแบบ AC Type 2 และ DC เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
  • CHAdeMO (Charge de Move): เป็นมาตรฐานหัวชาร์จจากประเทศญี่ปุ่น นิยมใช้ในรถยนต์ EV บางยี่ห้อ เช่น Nissan Leaf และ Mitsubishi Outlander PHEV

ตารางเปรียบเทียบหัวชาร์จรถไฟฟ้าประเภทต่างๆ

ตารางเปรียบเทียบหัวชาร์จรถไฟฟ้าประเภทต่างๆ

ชาร์จแบบไหนดี?

การเลือกว่าจะชาร์จรถไฟฟ้าแบบไหนดีที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งประเภทของรถยนต์, ลักษณะการใช้งาน และสถานการณ์ในขณะนั้น

  • สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน: การชาร์จแบบ AC (Type 2) ที่บ้านหรือที่ทำงาน ถือเป็นวิธีที่สะดวกและประหยัดที่สุด เพราะสามารถชาร์จทิ้งไว้ข้ามคืนได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา และยังมีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยไฟฟ้าที่ถูกกว่าการชาร์จที่สถานีสาธารณะ
  • สำหรับการเดินทางไกล: การชาร์จแบบ DC (CCS2 หรือ CHAdeMO) ตามสถานีชาร์จสาธารณะเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อความรวดเร็วในการเติมพลังงานและลดระยะเวลาในการเดินทาง
  • เพื่อถนอมแบตเตอรี่: การชาร์จแบบ AC จะเป็นมิตรกับแบตเตอรี่ในระยะยาวมากกว่าการชาร์จแบบ DC บ่อยๆ เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม รถยนต์ EV สมัยใหม่มีระบบจัดการแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับการชาร์จเร็วได้อย่างปลอดภัย

หัวชาร์จรถไฟฟ้า EV มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร ชาร์จแบบไหนดี 2025

ติดตั้งหัวชาร์จรถไฟฟ้า EV ที่บ้าน ต้องวางแผนยังไงบ้าง? เช็กลิสต์ครบจบในที่เดียว

การติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) หรือที่เรียกกันว่า Wallbox ที่บ้าน เป็นวิธีที่สะดวกและประหยัดที่สุดสำหรับผู้ใช้รถ EV แต่ก่อนที่จะตัดสินใจติดตั้ง มีหลายปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย และเหมาะสมกับรถยนต์และบ้านของคุณ

ต่อไปนี้คือเช็กลิสต์สำคัญที่ต้องคำนึงถึงก่อนการติดตั้งหัวชาร์จ EV ที่บ้าน

1. สำรวจระบบไฟฟ้าของบ้าน (สำคัญที่สุด)

การชาร์จรถ EV ใช้กำลังไฟฟ้าสูง ดังนั้นระบบไฟฟ้าเดิมของบ้านอาจไม่เพียงพอ สิ่งที่ต้องตรวจสอบเป็นอันดับแรกคือ:ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า (Kilowatt-hour Meter): บ้านพักอาศัยส่วนใหญ่มักใช้มิเตอร์ขนาด 5(15)A หรือ 15(45)A ซึ่ง ไม่เพียงพอ สำหรับการติดตั้ง EV Charger

ต้องทำอย่างไร: ควรเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าให้มีขนาดรองรับได้ โดยขนาดที่แนะนำคือ:

  • มิเตอร์ 1 เฟส ขนาด 30(100)A: เหมาะสำหรับ EV Charger กำลังไฟไม่เกิน 7.4 kW
  • มิเตอร์ 3 เฟส ขนาด 15(45)A หรือ 30(100)A: เหมาะสำหรับ EV Charger กำลังไฟ 11-22 kW และบ้านที่ใช้ไฟฟ้าเยอะ
  • ติดต่อใคร: สามารถยื่นเรื่องขอเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ได้ที่ การไฟฟ้านครหลวง (MEA) หรือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ในพื้นที่ของคุณ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
  • ขนาดสายเมน (สายไฟฟ้าหลักเข้าบ้าน): ต้องมีขนาดเหมาะสมกับมิเตอร์ที่ใหญ่ขึ้น หากสายเมนเดิมมีขนาดเล็กเกินไป จะต้องทำการเดินสายใหม่เพื่อความปลอดภัย
  • ตู้ควบคุมไฟฟ้าหลัก (Main Distribution Board - MDB): ควรมีช่องว่างสำหรับติดตั้ง เบรกเกอร์ย่อย (Circuit Breaker) เพิ่มเติมสำหรับวงจรของ EV Charger โดยเฉพาะ และต้องแยกออกจากวงจรไฟฟ้าอื่นๆ ในบ้าน

2. รู้จักรถยนต์ EV ของคุณ

  • ประเภทหัวชาร์จ: ตรวจสอบว่ารถของคุณใช้หัวชาร์จแบบใด ซึ่งสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ในไทยส่วนใหญ่จะเป็นหัวชาร์จ AC แบบ Type 2
  • กำลังไฟที่รถรับได้ (On-Board Charger): รถยนต์ EV แต่ละรุ่นมี On-Board Charger ที่สามารถรับกำลังไฟ AC ได้แตกต่างกัน เช่น 6.6 kW, 7.4 kW, 11 kW หรือ 22 kW การเลือกเครื่องชาร์จ (Wallbox) ที่มีกำลังไฟสูงกว่าที่รถรับได้ จะไม่ทำให้ชาร์จเร็วขึ้น แต่ก็สามารถติดตั้งเผื่อสำหรับรถคันในอนาคตได้

3. เลือกเครื่องชาร์จ (EV Charger / Wallbox) ที่เหมาะสม

  • กำลังไฟฟ้า (kW): เลือกกำลังไฟของเครื่องชาร์จให้สอดคล้องกับขนาดมิเตอร์และกำลังไฟที่รถรับได้ โดยกำลังไฟที่นิยมใช้ในบ้านคือ 7.4 kW และ 22 kW
  • ฟังก์ชันเสริม: พิจารณาฟังก์ชันต่างๆ เช่น การเชื่อมต่อ Wi-Fi/Bluetooth, การควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน, การตั้งเวลาชาร์จ หรือการดูข้อมูลประวัติการชาร์จ
  • มาตรฐานความปลอดภัย: เลือกซื้อเครื่องชาร์จที่ได้มาตรฐานสากลและมีระบบป้องกันความปลอดภัยครบถ้วน เช่น ระบบป้องกันไฟดูด, ไฟรั่ว, ไฟเกิน

4. อุปกรณ์ความปลอดภัยต้องครบถ้วน

ในการติดตั้ง EV Charger จะต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเพิ่มเติมในตู้ควบคุมไฟฟ้าเสมอ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด:

  • MCB (Miniature Circuit Breaker): อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและกระแสไฟเกิน
  • RCCB (Residual Current Circuit Breaker): อุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว/ไฟดูด ซึ่งเป็นสิ่งที่ จำเป็นอย่างยิ่ง ควรเลือกใช้ Type B เพราะสามารถป้องกันไฟฟ้ารั่วจากกระแสตรง (DC) ที่อาจเล็ดลอดออกมาจากแบตเตอรี่รถยนต์ได้ดีกว่า Type A

5. ตำแหน่งในการติดตั้ง

  • ระยะห่าง: ควรติดตั้งในจุดที่ใกล้กับที่จอดรถมากที่สุด และไม่ห่างจากตู้ควบคุมไฟฟ้าหลักจนเกินไป เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟ
  • พื้นที่เหมาะสม: ควรเป็นพื้นที่ในร่ม มีหลังคาที่สามารถกันแดดกันฝนได้ แม้ว่าเครื่องชาร์จส่วนใหญ่จะออกแบบมาให้กันน้ำ (มาตรฐาน IP) แต่การติดตั้งในที่ร่มจะช่วยยืดอายุการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น
  • การระบายอากาศ: บริเวณที่ติดตั้งควรมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก

6. การติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญ

ห้ามติดตั้งด้วยตนเองเด็ดขาด ควรเลือกใช้บริการจากบริษัทที่น่าเชื่อถือหรือช่างไฟฟ้าที่มีความรู้ความชำนาญด้านการติดตั้ง EV Charger โดยเฉพาะ เพื่อให้การติดตั้งเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของการไฟฟ้าฯ

7. ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งจะแบ่งเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้:

  • ค่าเครื่องชาร์จ (Wallbox): มีราคาตั้งแต่ประมาณ 20,000 บาท ไปจนถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ กำลังไฟ และฟังก์ชัน
  • ค่าดำเนินการกับการไฟฟ้า (ขอ/เปลี่ยนมิเตอร์): ประมาณ 3,000 - 8,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดมิเตอร์และเขตพื้นที่)
  • ค่าติดตั้งและเดินสายไฟ: ประมาณ 10,000 - 30,000 บาท หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับระยะทางของสายไฟและความซับซ้อนของงาน

หัวชาร์จรถไฟฟ้า EV มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร ชาร์จแบบไหนดี  WALLBOX

ข้อสรุป: ผู้ใช้รถ EV ควรทำความเข้าใจประเภทของหัวชาร์จที่รถของตนเองรองรับ และเลือกรูปแบบการชาร์จให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง โดยเน้นการชาร์จแบบ AC ที่บ้านเป็นหลัก และใช้บริการชาร์จเร็วแบบ DC เมื่อจำเป็น เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้ยาวนาน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com

ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ