มีงบซื้อรถ 2 ล้าน ระหว่าง รถญี่ปุ่นรุ่นท็อป หรือ รถยุโรปรุ่นเริ่มต้น? Share this

มีงบซื้อรถ 2 ล้าน ระหว่าง รถญี่ปุ่นรุ่นท็อป หรือ รถยุโรปรุ่นเริ่มต้น?

Paknam536
โดย Paknam536
โพสต์เมื่อ 10 June 2563

งบ 2 ล้าน ซื้อรถอะไรดี ระหว่างรถญี่ปุ่นรุ่นท็อป ออปชั่นเต็มลำ หรือ ซื้อรถยุโรปรุ่นเริ่มต้น ขับไปไหน ใครก็มอง... แต่ละแบบมีความแตกต่างกันชัดเจน ว่าแต่เอาแบบไหนดี?


ซื้อรถงบ 2 ล้านบาท

รถยนต์ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตยุคปัจจุบัน อย่างที่เราทราบกันดีว่า ระบบการขนส่งมวลชนของประเทศเรานั้นค่อนข้างจะ....(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ทำให้มีผู้คนไม่น้อยเลยที่มองหารถยนต์สักคันไว้ใช้งาน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการเดินทางที่ไม่สะดวก

รถยนต์ นอกจากเป็นพาหนะในการเดินทางที่สำคัญ แก้ปัญหาเรื่องการเดินทางที่ช่วยทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นแล้ว อีกหนึ่งหน้าที่ของมันคือ สามารถเป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคมได้อีกช่องทางหนึ่ง เห็นได้จากแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมแบรนด์อันหลากหลาย ที่เมื่อปรากฎตัวบนท้องถนนเมื่อใด จะสะดุดตาขึ้นมา ตกเป็นเป้าสายตาของผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ไม่น้อย

เมื่อพูดถึงรถยนต์ระดับราคา 2 ล้านบาท บวกลบนิดหน่อย ในงบประมาณระดับนี้ ผู้ซื้อกลุ่มใหญ่มักจะเป็นผู้ที่ซื้อรถยนต์เป็นคันที่สองแล้ว เนื่องด้วยระดับราคาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง สำหรับผู้คนทั่วไปที่ทำงานมนุษย์เงินเดือน ทำให้กว่าจะสามารถครอบครองรถคลาสนี้ได้ ล้วนแล้วแต่ต้องมีหน้าที่การงานที่มั่นคงแล้ว และย่อมมากับ "อายุ" ที่สูงมากขึ้น และส่วนใหญ่ก็มักจะมีครอบครัวแล้ว ก็มักจะมองหา รถยนต์ ที่ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับครอบครับเป็นหลัก

 

 

ทว่า ในยุคปัจจุบันนี้ ก็มีผู้คนไม่น้อยอีกเช่นกัน ที่เน้นเรื่องของ "รูปลักษณ์" ของตัวรถ ที่ต้องการความโดดเด่น ดูแตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้กันโดยทั่วไปบนท้องถนน ซึ่งในกลุ่มนี้ รถยนต์ที่ตอบโจทย์คนเหล่านี้ก็จะเป็นรถตระกูลพรีเมี่ยมต่างๆ จากหลากหลายแบรนด์รถยนต์ที่มีอยู่ในเมืองไทย

และในวันนี้ Autospinn ขอนำเสนอเรื่องราวของการเลือกรถยนต์สักคันนึง ในงบประมาณ 2 ล้านบาท จากคำพูดของชาวเน็ตที่มักจะพูดถึง เมื่อเห็นรถญี่ปุ่นรุ่นท็อปเปิดตัวในราคาแตะ 2 ล้านบาท หรือทะลุ 2 ล้านบาททีไร ต้องมีคำว่า "เพิ่มอีกนิด ได้รถยุโรป" "ราคานี้ ขับรถยุโรปได้" เดี๋ยวเราจะมาเหลากันว่า เหตุใด และทำไม ต้องซื้อรถคันนั้นๆ

 

 

รถญี่ปุ่น ราคา 2 ล้านบาท

สำหรับฝากฝั่งของรถญี่ปุ่นวันนี้ เราอยู่กับ Mazda CX-8 รถยนต์ SUV รุ่นท็อปที่สุดของ Mazda ราคาวางจำหน่ายป้ายแดงอยู่ที่ 2,090,000 บาท

 

 

รถยุโรป ราคา 2 ล้านบาท

สำหรับฝากรถยุโรปวันนี้ เราอยู่กับ Mercedes-Benz GLA 250 AMG Dynamic รุ่นกลางของตระกูล GLA จากค่ายตราดาว ราคาวางจำหน่ายป้ายแดงอยู่ที่ 2,390,000 บาท โดยในออปชั่นของตระกูลนี้ ยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกที่ราคาเบาสบายกว่า นั้นคือรุ่น GLA 200 โดยมีราคาป้ายแดงที่ 1,990,000 บาท

 

 

ราคานี้ ได้เบนซ์เลยนะ

ถูกต้องแล้วครับ ในวงเงิน 2 ล้านบาท สำหรับการเลือกซื้อรถยนต์สักคัน ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว โดยในวงเงินระดับนี้ ท่านจะมีตัวเลือกที่เยอะมากๆ ตั้งแต่ฝั่งรถญี่ปุ่นรุ่นท็อปๆ ยันรถยุโรปรุ่นเริ่มต้นได้เลย แม้ว่าชื่นชั้นของแบรนด์รถยุโรป ถ้าว่ากันตรงๆ แล้วก็คือ "ดูหรูหรากว่า" ก็เป็นเรื่องที่หลายๆ คนมองกันโดยส่วนใหญ่ ทว่าในความเป็น "รุ่นท็อป" กับ "รุ่นเริ่มต้น" มันมีความแตกต่างกันอย่างมาก แม้ว่าฝั่งนึงจะเป็นแบรนด์ที่ดูดี มีความพรีเมี่ยมกว่า ก็ไม่อาจจะทัดเทียม และทดแทนกันได้ซะทั้งหมด

 

 

เปรียบเทียบระหว่างรถทั้ง 2 คัน

เรามาเริ่มเปรียบเทียบกันแบบจุดต่อจุดกันก่อนดีกว่า เริ่มตั้งแต่ภายนอก ระหว่าง Mazda CX-8 และ Mercedes-Benz GLA 250 โดยรถทั้ง 2 คัน เป็นรถในตระกูล SUV ทั้งคู่ ดีไซน์ภายนอกของ Mazda CX-8 รูปลักษณ์ของเขาเป็นรถที่มีขนาดใหญ่ ทัดเทียบกับรถยนต์แบบ PPV ด้วยขนาดตัวถังใหญ่ ความยาว 4,900 มม. กว้าง 1,840 มม. และสูง 1,730 มม. ระยะฐานล้อ 2,930 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 200 มม และมีความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงมากถึง 74 ลิตร

ด้านหน้าของตัวรถ เป็นไปตามสไตล์ของ Mazda ที่เน้นความเรียบหรู ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟตัดหมอก LED เต็มระบบ

 

 

ถัดมาที่ฝั่งของ GLA 250 ด้านภายนอกของตัวรถ ดีไซน์ด้านหน้าของตัวรถ โดดเด่นมาด้วยกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของ Mercedes-Benz ที่เน้นความดุดัน หรูหรา และพรีเมี่ยมไว้ได้อย่างลงตัว โดยกระจังหน้าของรถตระกูล GLA เรียกได้ว่าหยิบยืมมาจากรุ่นพี่ในตระกูล GLS ราคาระดับแตะ 8 หลักมาใช้งานในรถราคาประมาณ 2 ล้านบาท ส่วนไฟหน้าของรถเป็นไฟ LED เหมือนกับ CX-8 แตกต่างกันในเรื่องของดีไซน์เท่านั้น ซึ่งจุดนี้แล้วแต่ความชอบของท่าน

ส่วนที่แตกต่างกันอย่างมาก นั่นคือตัวถังของรถเล็กกว่า CX-8 อย่างชัดเจน ความยาวของรถอยู่ที่ 4,443 มม. กว้าง 1,804 มม. และสูง 1,483 มม. เล็กกว่า CX8 ทุกมิติ

สรุป : เรื่องขนาดของตัวรถ Mazda CX-8 ชนะขาดลอย ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามาก

 

 

ภายในห้องโดยสาร

เข้ามาภายในห้องโดยสาร เปิดด้วยสิ่งแรกเลยที่ CX-8 ชนะขาดลอยไปอีก นั่นคือจำนวนที่นั่งโดยสารให้มาถึง 6 ตำแหน่ง พร้อมที่นั่งแถว 2 แบบ Captain seat ที่สุดแสนจะสบาย เหมาะสำหรับรถเพื่อครอบครัวที่มีผู้โดยสารเยอะ มีคนสูงอายุโดยสารเป็นประจำ เบาะนั่งแถวที่ 2 จัดว่าออกแบบมาเพื่อคนกลุ่มนี้ รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบความสบายในการเดินทางได้เป็นอย่างดี ส่วน GLA 250 มี 5 ที่นั่ง ตามสไตล์ของรถยนต์ทั่วไป

 

 

ถัดมาดูเบาะนั่งของรถทั้งสองรุ่นกันบ้าง รถทั้ง 2 รุ่นนี้ให้เบาะนั่งแบบไฟฟ้ามาทั้งคู่ แต่สิ่งที่ต่างกันนั่นคือเรื่องของงานดีไซน์ จะเห็นได้ว่าเบาะนั่งของฝั่ง GLA จะเป็นเบาะนั่งทรงสปอร์ต ส่วนเบาะนั่งของ CX-8 จะดูสปอร์ตน้อยกว่า ดูผู้ใหญ่หน่อย

 

 

ความรู้สึกตอนนั่งคือ ฝั่ง GLA เบาะนั่งจะค่อนข้างกระชับเข้ากับตัวผู้ขับขี่ นั่งสบาย ส่วนทางด้านของ CX-8 เบาะจะค่อนข้างหลวมกว่า นั่งสบายแบบอิสระหน่อย และสัมผัสได้ถึงความนุ่มที่มากกว่า GLA (อย่างว่า รถแนวสปอร์ต กับรถบ้านอะครับ)

 

 

ทางด้านวัสดุภายในห้องโดยสาร คอนโซลหน้า รวมถึงจุดสัมผัสอื่นๆ ของ CX-8 ใช้เป็นวัสดุบุนุ่มเกือบทุกชิ้น แต่ทาง GLA จะใช้เป็นวัสดุแบบแข็งในหลายจุด มีบุนุ่มเฉพาะจุดสัมผัส อาทิเช่นบริเวณที่วางแขนตรงประตูเท่านั้น

 

 

ระบบอำนวยความสะดวก อันนี้คู่คี่ สูสีกัน ระบบแอร์ของรถทั้ง 2 รุ่นเป็นแบบแยกโซนเหมือนกัน, หน้าจอมัลติมีเดีย รองรับ Apple Carplay, Android Auto เหมือนกัน, เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางเหมือนกัน, พวงมาลัยไฟฟ้า เหมือนกัน, กระจกออโต้ เหมือนกัน 4 บาน พร้อมสั่งเปิด/ปิด ประตูห้องเก็บสัมภาระจากคนขับได้เหมือนกัน

 

 

ระบบความปลอดภัยพื้นฐาน มีมาให้ครบทั้ง 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยรอบห้องโดยสาร, ระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ABS, Traction control, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบช่วยการยึดเกาะถนน มีมาให้เหมือนกัน

แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนนั่นคือ ระบบล็อกความเร็ว หรือ Cruise Control ที่ของทางฝั่ง GLA จะทำได้เพียงล็อกความเร็ว และมีเรด้าแจ้งเตือนการชน พร้อมระบบเบรกฉุกเฉินก่อนการชนมาให้

ทว่าทางฝั่ง CX-8 จัด Dynamic Cruise Control แบบเต็มระบบมาให้เลย เพราะงั้นแล้วในเรื่องของระบบช่วยเหลือการขับขี่ ส่วนนี้ CX-8 ชนะ "ขาดลอย"

 

 

ถัดมาที่ผู้โดยสารด้านหลัง ทางด้าน GLA สามารถนั่งได้ 3 คนแบบ "อบอุ่นมากๆ" ด้วนขนาดความกว้างของห้องโดยสารที่เล็กกว่าชัดเจน ระยะเฮดรูมที่น้อยกว่า การนั่งโดยสารด้านหลังถือว่าทำได้ดี

 

 

แต่ถ้าเทียบกับ CX-8 บอกเลยว่า ยังห่างไกล ด้วยดีไซน์ห้องโดยสารด้านหลังของเขาที่เน้นความสบายด้วยเบาะนั่งแบบ Captain Seat อันโดดเด่น ประดุจรถยนต์ MPV ขนาดใหญ่ ส่วนนี้จัดว่าทิ้งห่าง GLA ไปไกลมากๆ ในเรื่องของความสบาย ที่ยังไง CX-8 ก็ให้มามากกว่า แถมยังมีที่นั่งแถว 3 มาให้ใช้งานอีก บอกเลยว่า CX-8 เป็นรถที่เหมาะสำหรับท่านที่มีครอบครัวแล้ว หรือมีผู้โดยสารเยอะเป็นประจำ

 

 

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง สามารถใส่กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ได้สบายๆ ทั้งคู่ แต่ส่วนนี้ไม่ต้องพูดเยอะ CX-8 ชนะขาดลอยแบบไม่ต้องเทียบให้เหนื่อย เพราะว่ารถคันนี้สามารถพับเบาะนั่งแถว 3 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้อีก ใส่กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 4 ใบยังได้แบบสบายๆ พร้อมสัมภาระอื่นๆ อีกยังได้ ส่วนทาง GLA แค่ใบใหญ่ 2 ใบกับใบเล็กอีกใบก็แน่นแล้ว

 

 

2 ล้าน เลือกญี่ปุ่น หรือ ยุโรป

โดยสรุปแล้ว สำหรับการเปรียบเทียบ Mazda CX-8 และ Mercedes-Benz GLA ขอสรุปได้ว่า รถทั้ง 2 คันนี้ มีความโดดเด่นกันคนละด้าน หากท่านมีผู้โดยสารมากกว่า 4 คนขึ้นไปเป็นประจำ มีผู้สูงอายุโดยสารบ่อย มีสัมภาระเยอะ หรือเดินทางไกลเป็นประจำ Mazda CX-8 จะตอบโจทย์กว่ามาก ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า จำนวนที่นั่งโดยสารที่มากกว่า, เบาะนั่งที่เอื้อต่อการนั่งโดยสารนานๆ สำหรับผู้โดยสารแถว 2 เรียกได้ว่าการออกไป Road trip ต่างจังหวัดแต่ละครั้ง จะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และความบันเทิง ไปได้พร้อมกันทั้งครอบครัวในรถคันเดียวกัน

 

 

ซึ่งข้อเสียของรถรุ่นนี้คือ "ความโดดเด่น" ที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยเป็นที่สนใจบนท้องถนนเท่าไหร่นัก ด้วยขนาดของตัวรถที่ค่อนข้างใหญ่เกือบเท่ากับรถตู้แบบ MPV รวมถึงดีไซน์โดยรวมที่คล้ายๆ กับ CX-5 ที่ยาวกว่า ทำให้รถคันนี้ หากจอดรวมๆ ในลานจอดรถ ก็จะดูเหมือนรถยนต์ทั่วไป

 

 

ส่วนฝั่งของ Mercedes-Benz GLA ที่แน่นอนว่า ด้วยชื่อของแบรนด์ รวมถึงโลโก้ของแบรนด์ที่ติดหน้ารถ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นที่สนใจของผู้ที่ได้พบเห็น ให้ต้องหันมามองรถคันนี้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง และยังมาพร้อมกับดีไซน์ที่ดูโดดเด่น ดูวัยรุ่นกว่า ทำให้รถคันนี้ตกเป็นเป้าสายตาได้ง่ายกว่า ถ้าพูดแบบวัยรุ่นๆ ก็ "หล่อ" กว่า ประมาณนั้น

แต่สิ่งที่ต้องแลกกัน นั่นคือพื้นที่ใช้สอยภายในตัวรถที่น้อยกว่ามาก เบาะนั่งแถว 2 ที่อึดอัดกว่ามาก และจำนวนที่นั่งที่น้อยกว่าเห็นๆ ทำให้รถคันนี้เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการใช้รถเพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้กับตนเอง โดยยังมีพื้นที่ใช้สอยให้อย่างเพียงพอ สำหรับท่านที่ขับรถคนเดียวเป็นประจำ หรืออาจมีผู้โดยสารบ้างเป็นบางครั้ง เจ้า GLA นี้จะเหมาะไม่ใช่น้อย

 

อย่าลืมค่าเซอร์วิส

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องคิดตาม นั่นคือ "ค่าประกันภัย" รวมถึง "ค่าบำรุงรักษา" ที่ทางฝั่งรถญี่ปุ่น จะได้เปรียบฝั่งรถยุโรปอยู่ไม่น้อยด้วยราคาที่ต่ำกว่า ยิ่งใช้รถนานๆ ไป ไม่ว่ารถอะไรย่อมมีการสึกหรอ "ค่าอะไหล่" และ "ค่าประกันภัย" จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่จะช่วยตัดสินใจได้ว่า ท่านต้องการรถคันไหน

 

 

สรุป

สรุปแล้ว ด้วยเงินจำนวน 2 ล้านบาทเท่ากัน ท่านสามารถเลือกได้ว่า ท่านจะซื้อรถมาเพื่อใช้งานแบบใด ความต้องการแบบใดที่ตอบโจทย์กับท่านมากที่สุด ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนคือ Mazda CX-8 เหมาะสำหรับท่านที่มีครอบครัว ส่วน Mercedes-Benz GLA เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการใช้รถเพื่อเสริมภาพลักษณ์ครับ

 

ชมวิดีโอได้ ที่นี่

 

อ่าน รีวิว Mercedes-Benz GLA 250 AMG
อ่าน รีวิว Mazda CX-8
อ่าน รีวิว Subaru Forester GT

ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com  
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่ 
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car


คำนวณค่างวดรถเบื้องต้น
Use the calculator to calculate the installment of your dream car
ระยะเวลาผ่อนชำระ (เดือน)
* ราคาค่างวดรวม VAT แล้ว สำหรับพิจารณาข้อมูลเบื้องต้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการซื้อขายได้
อัตราการผ่อนชำระ (เดือน)
บาท
จำนวนงวด (เดือน)
สนใจขอสินเชื่อรุ่นนี้
* ราคาค่างวดรวม VAT แล้ว สำหรับพิจารณาข้อมูลเบื้องต้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการซื้อขายได้

ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ