เคล็ดลับการตรวจเช็คสภาพยาง และวิธีการดูวันหมดอายุว่าสามารถเช็คได้ตรงไหน รวมถึงจุดสังเกตอาการเสื่อมสภาพของยางที่ไม่ควรละเลย
สภาพยางรถยนต์ที่ควรเปลี่ยน
ยางรถยนต์ โดยปกติแล้วจะมีวันหมดอายุหรือเสื่อมสภาพตามการใช้งาน ทุกแบรนด์ ทุกรุ่น ไม่มีเว้นอยู่แล้ว เพราะยางเป็นชิ้นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยในการขับขี่ ดังนั้นควรตรวจสอบความพร้อมในการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ วันนี้เลดี้มีเคล็ดลับวิธีการตรวจสอบสภาพยาง ที่สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง
ยางรถยนต์เสื่อมสภาพกี่ปี
ก่อนที่จะไปเช็คสภาพยางบริเวณจุดอื่นๆ ให้ดูวันที่ผลิตก่อน เพราะวิธีที่แม่นยำและชัดเจนที่สุดในการตรวจสอบอายุการใช้งานของยาง คือ "หาวันที่ผลิต" ซึ่งสามารถอ่านได้บริเวณแก้มยาง โดยให้สังเกตรหัสตัวเลข 4 หลัก อยู่ในกรอบวงรีเล็กๆ หรือ DOT Code
- ตัวเลข 2 หลักแรก: หมายถึง สัปดาห์ที่ผลิต (ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 01 ถึง 52)
- ตัวเลข 2 หลักหลัง: หมายถึง ปี ค.ศ. ที่ผลิต (เลข 2 ตัวท้ายของปี)
ยกตัวอย่าง เช่น หากรหัสบนแก้มยางคือ "0619" หมายความว่ายางเส้นนี้ผลิตขึ้นใน สัปดาห์ที่ 6 ของปี 2019 นั่นเอง ซึ่งยางแต่ละเส้น จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 5 ปี นับจากวันที่ผลิต แม้ว่าดอกยางจะยังดูดีอยู่ก็ตาม ยังไงก็ต้องเปลี่ยน เนื่องจากสารเคมีในเนื้อยางเริ่มมีการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา อาจทำให้ยางแข็งกระด้างและสูญเสียประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน รวมถึงความยืดหยุ่นที่จำเป็นต่อการรับแรงกระแทก
วิธีดูดอกยางรถยนต์
1. ตรวจสอบสภาพดอกยางเบื้องต้น : โดยให้สังเกตความลึกของดอกยาง ถ้ายางใหม่ดอกยางจะมีความลึกประมาณ 8-9 มิลลิเมตร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ดอกยางสึกจนเหลือต่ำกว่า 1.6 มิลลิเมตร นั่นคืออาการของดอกยางหมด ประสิทธิภาพในการรีดน้ำ และการยึดเกาะถนนจะลดลงอย่างชัดเจนโดยเฉพาะบนพื้นผิวที่เปียก และควรตรวจเช็คบริเวณดังต่อไปนี้
- สะพานยาง บนดอกยางจะมีปุ่มนูนเล็กๆ ที่เรียกว่าสะพานยาง ซึ่งมักจะอยู่ระหว่างร่องดอกยางหลัก ซึ่งจะมีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมเล็กๆ ที่แก้มยาง หากดอกยางสึกจนเสมอกับสะพานยาง แสดงว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางแล้ว
- ดอกยางไม่สม่ำเสมอ หากดอกยางมีอาการสึกเป็นบั้งๆ หรือสึกด้านใดด้านหนึ่งเร็วกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณของยางหมดอายุ หรือมีปัญหาเรื่องการถ่วงล้อ/ตั้งศูนย์ล้อผิดปกติ
2. ตรวจสอบรอยแตกลายงาบนแก้มยางและหน้ายาง : การใช้งานบนสภาพถนนที่มีความร้อนสูบง อันเนื่องมาจากแสงแดด โอโซน อาจทำให้เกิดรอยแตกเล็กๆ คล้ายลายงาขึ้นที่บริเวณแก้มยางหรือร่องดอกยาง ยิ่งรอยแตกเยอะและลึกเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่ายางเสื่อมสภาพมากเท่านั้น หากพบรอยแตกขนาดใหญ่ ควรเปลี่ยนยางทันที
3. ยางมีสภาวะแข็งกระด้าง : ให้ลองทดสอบด้วยการใช้เล็บจิกลงบนหน้ายาง ถ้าเป็นยางใหม่เนื้อยางจะนิ่มและยืดหยุ่น แต่ถ้ายางเริ่มแข็งกระด้างจนจิกไม่ลง หรือจิกแล้วไม่ทิ้งรอยเล็บ แสดงว่ายางหมดอายุและสูญเสียความยืดหยุ่นไปแล้ว
4. สังเกตรอยบวมหรือฉีกขาด : หากพบว่ามีส่วนใดส่วนหนึ่งบวม นูน หรือปูดออกมาผิดปกติ แสดงว่าโครงสร้างภายในของยางเสียหายอย่างรุนแรง อาจเกิดจากการกระแทกหรือยางเสื่อมสภาพจนโครงสร้างภายในแยกออกจากกัน ให้รีบเปลี่ยนโดยทันที หรือยิ่งไปกว่านั้น ในหรณีที่พบว่ามีรอยบาดลึกหรือรอยฉีกขาดที่มองเห็นโครงสร้างยางภายใน อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ขับต่อไปไม่ได้แน่นอนค่ะ อันตรายและเสี่ยงต่อการระเบิดมากๆ
5. สังเกตอาการผิดปกติขณะขับขี่ : หากรถของคุณมีอาการสั่นผิดปกติ โดยเฉพาะที่พวงมาลัยหรือรู้สึกสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งคัน นั่นหมายความว่าอาจเกิดจากยางหมดอายุ ล้อไม่สมดุล หรือช่วงล่างมีปัญหา ผลที่ตามมาคือประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนลดลง ทำให้รถลื่นไถลได้ง่ายขึ้นในขณะที่เข้าโค้ง มีระยะเบรกที่ยาวขึ้นและมีเสียงดังผิดปกติ
การสังเกตว่ายางหมดอายุหรือไม่ ควรพิจารณาทั้งจากวันหมดอายุ และสภาพของยาง ไม่ควรใช้ยางที่มีอายุเกิด 5 ปี ถึงแม้ว่าดูจากภายนอกแล้วยังมีสภาพที่ดีอยู่ก็ตาม และควรตรวขสอบความพร้อมของสภาพยางอยู่เป็นประจำ หากพบสัญญาณความผิดปกติตามที่เลดี้กล่าวมาข้างต้น ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญหรือเปลี่ยนยางใหม่ทันที เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวคุณเองและเพื่อร่วมทางค่ะ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น