รีวิว Honda City e:HEV กับบททดสอบความประหยัดน้ำมัน ทั้งในเมือง และนอกเมือง Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว Honda City e:HEV กับบททดสอบความประหยัดน้ำมัน ทั้งในเมือง และนอกเมือง

Champ Autospinn
โพสต์เมื่อ 19 March 2564

เทรนด์การใช้รถยนต์ในปัจจุบันเปลี่ยนไปมากครับ ผู้ใช้รถส่วนใหญ่หันไปใช้รถยนต์ประหยัดน้ำมันกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากราคาน้ำมันที่พุ่งตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่ายรถหลายค่ายต่างก็พัฒนารถยนต์ในสังกัดของตัวเองเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า และตอบโจทย์การใช้งานที่สุด


รวมไปถึงค่ายยักษ์ใหญ่อย่างฮอนด้า ที่ล่าสุดได้เปิดตัว Honda City e:HEV รถยนต์ไฮบริดที่มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย Honda SENSING และชุดแต่ง RS

Honda City e:HEV RS ในโฉมนี้ เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2020 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เพราะได้นำเครื่องยนต์ไฮบริดมาใช้เป็นครั้งแรกในตระกูล City Series หากดูรวมๆภายนอกจะเหมือนกับในรุ่น TURBO RS ครับ จะต่างกันตรงที่รุ่น e:HEV ใช้โลโก้ฮอนด้าสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ท้ายรถ

รับชมรีวิว Honda City e:HEV รูปแบบวีดีโอได้ที่นี่

ดีไซน์ภายนอก Honda City e:HEV RS

ไฟหน้า และไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน หรือ Daytime running Light ใช้เป็นหลอดแบบ LED รวมไปถึงไฟตัดหมอกคู่หน้าก็เป็นแบบ LED เช่นเดียวกัน กระจังหน้า สีดำ Gloss black พร้อมสัญลักษณ์ RS ที่มาในลุคของความสปอร์ต หากสังเกตดีๆจะเห็นได้ว่าที่ด้านบนสุดของกระจกหน้ารถ จะมีกล้องสำหรับตรวจจับวัตถุด้านหน้า ซึ่งกล้องตัวนี้ถือเป็นพระเอกของระบบความปลอดภัยเลยก็ว่าได้ เพราะทำงานให้กับระบบความปลอดภัยหลายระบบใน Honda SENSING เช่น ระบบเปิดไฟสูงอัตโนมัติ ระบบ Adaptive Cruise control ระบบรักษาช่องทางเดินรถ เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่กระจกมองข้างยังเป็นสีดำแบบสปอร์ต ตัดกับสีของตัวรถ มีไฟเลี้ยวให้ในตัว สามารถพับและปรับได้ด้วยไฟฟ้า ที่ใต้กระจกมองข้างฝั่งซ้ายมีกล้องติดตั้งมาให้ด้วย ซึ่งกล้องตัวนี้อยู่ในฟังก์ชันของ Honda LaneWatch คือ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ซึ่งมันช่วยลดจุดบอดในการมองเห็นของกระจกมองข้างด้านซ้ายอย่างมาก หรือช่วยให้การจอดเทียบฟุตบาธฝั่งซ้ายปลอดภัยขึ้น เสริมความสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ

ด้านท้ายตกแต่งด้วย สปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS และ e:HEV ในส่วนของไฟท้ายก็เป็นแบบ LED

ดีไซน์ภายใน Honda City e:HEV

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะหนังสลับหนังกลับ เดินด้ายสีแดง สื่อถึงความสปอร์ต มีจอเรือนไมล์แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว สำหรับดูค่าต่าง ๆ ของตัวรถ ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม เช่น แอร์อัตโนมัติ และรุ่นนี้เอาใจคนนั่งข้างหลัง ด้วยการเพิ่มแอร์หลังมาให้ด้วยครับ

ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps และยังมีระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI

เครื่องยนต์ Honda City e:HEV

Honda City e:HEV ขับเคลื่อนด้วยระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi Mode Drive (i MMD) ระบบ Full Hybrid เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม/กิโลเมตร

การทดสอบในครั้งนี้ ผมเน้นทดสอบที่อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ การขับแบบในเมืองรถติดๆ และการขับนอกเมือง เพื่อดูว่าจะประหยัดใกล้เคียงกับที่โฆษณาเอาไว้หรือเปล่า

หลังจากที่ผมรับรถเสร็จ ผมได้มุ่งหน้าไปยังปั้มน้ำมันทันที โดยเติมน้ำมันให้เต็มถัง ซึ่งน้ำมันที่ผมใช้ทดสอบในครั้งนี้คือ แก็สโซฮอล์ 95 หลังจากที่เติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้ทำการรีเซ็ทค่า AVG หรือค่าเฉลี่ยน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็น 0 โดยเส้นทางที่ผมจะใช้ทดสอบ คือ บางนา สาธร สีลม พระราม9 ซึ่งหลายท่านคงทราบกันดี ว่าเส้นทางนี้รถติดสุดๆ แต่ก็ขับได้สบายครับ เพราะเค้ามีระบบ Brake hold มาให้ด้วย ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ เมื่อรถติด

สำหรับการทำงานของเครื่องยนต์ จากการสังเกต เครื่องยนต์จะไม่ได้ทำงานตลอดเวลา ซึ่งมีหลักการทำงานดังนี้ครับ

ขณะที่รถหยุดนิ่ง เครื่องยนต์จะหยุดการทำงาน แต่ระบบแอร์ยังคงทำงานอยู่ โดยพลังงานที่ใช้ตอนรถหยุดนิ่งจะมาจากแบตเตอรี่ครับ แต่ถ้าไฟในแบตเริ่มอ่อนเครื่องยนต์ก็จะกลับมาทำงานพร้อมกับแบ่งไฟส่วนหนึ่งเข้าไปเก็บในแบต

ขณะออกตัวและเพิ่มความเร็ว ถ้าไฟในแบตมีเพียงพอ ตัวรถจะออกตัวด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และเมื่อไต่ระดับความเร็ว เครื่องยนต์จะเริ่มทำงานควบคู่ไปกับมอเตอร์ไฟฟ้า

ขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ/ปานกลางคงที่ จะเข้าสู่โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบจะมีการเลือกสลับการทำงานกับโหมดการขับขี่แบบไฮบริดตามระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่

ขณะเร่งแซง เครื่องยนต์จะทำงานและเข้าสู่โหมดการขับขี่แบบไฮบริดเพื่อเพิ่มกาลังในการเร่งแซง

ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงคงที่ จะเข้าสู่โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ และระบบจะมีการตัดสลับการทำงานกับโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตามระดับของไฟฟ้าในแบตเตอรี่

ขณะลดความเร็ว ระบบจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดขึ้นจากการลดความเร็วให้เป็นพลังงานไฟฟ้าและชาร์จกลับสู่แบตเตอรี่

หลังจากที่ขับทดสอบขับขี่ในเมืองอยู่หลายวัน ระยะทางกว่า 218 กิโลเมตร ค่า AVG โชว์อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 24.7 กม./ล. และเมื่อเติมน้ำมันกลับเข้าไปจนเต็มถัง กดเครื่องคิดเลขออกมาได้ 24.9กม./ล. จุดทศนิยมต่างกันเล็กน้อย สำหรับผม ผมถือว่าค่า AVG ที่หน้าจอตรงกับความเป็นจริงครับ จากการใช้งานในเมือง บอกได้เลยว่าประหยัดมากครับ

การทดสอบต่อไปคือการขับออกต่างจังหวัด ถนนโล่งรถไม่ติด ผมใช้วิธีเดียวกันเลยคือเซ็ทค่า AVG หรือค่าเฉลี่ยน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็น 0 และเติมน้ำมันเต็มถัง โดยจุดหมายปลายทางที่ผมจะไปคือ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา

การขับขี่บนถนนโล่งๆ อัตราเร่งของเครื่องยนต์ทำได้ดีมากครับ ไม่อืด เร่งแซงมั่นใจ ความเร็วที่ใช้เป็นไปตามสภาพการจราจรจริง ยืนพื้นที่ความเร็วประมาณ 120 กม./ชม. ระหว่างทางได้มีโอกาสทดสอบระบบฮอนด้าเซนส์ซิ่งด้วยครับ ซึ่งเค้ามีมาให้ถึง 5 ระบบ คือ

ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก : หากเราขับจี้ท้ายรถคันหน้ามากเกินไป จะมีสัญญาณเตือนที่หน้าจอ และระบบจะช่วยเบรกหากอยู่ในระยะที่เริ่มไม่ปลอดภัย

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน : เมื่อเราล็อกความเร็วเอาไว้ เราสามารถยกเท้าออกจากคันเร่งได้เลย หากคันหน้าเบรก รถเราก็จะเบรกตาม หากคันหน้าเพิ่มความเร็ว รถเราก็จะเพิ่มความเร็วตามจนถึงความเร็วที่เราล็อกเอาไว้ นอกจากนี้ เรายังสามารถตั้งระดับของความห่างระหว่างคันหน้าได้ถึง 4 ระดับครับ

ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ : หากเราเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะขึ้นสัญญาณเตือนที่หน้าจอ พร้อมกับหน่วงพวงมาลัย ถือเป็นระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่มีประโยชน์มากครับ

ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ : การใช้งานระบบนี้ เราจะต้องกดปุ่มที่ฝั่งขวาของพวงมาลัย โดยระบบนี้กล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกหน้า จะตรวจจับเส้นเลนถนน และจะบังคับควบคุมตัวรถให้อยู่กึ่งกลางของเลน และในทางโค้งพวงมาลัยก็จะหมุนเลี้ยวให้เอง แต่ถ้าเรายกมือออกจากพวงมาลัย ระบบจะเตือนเพื่อให้เราเอามือจับพวงมาลัยครับ

ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ : ระบบนี้ผมชอบมากครับ เมื่อขับผ่านเส้นทางที่มืด ไม่มีรถอยู่ด้านหน้า ระบบจะเปิดไฟสูงให้แบบอัตโนมัติ แต่ถ้ากล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกตรวจจับได้ว่ามีรถวิ่งสวนทางมา ก็จะปรับเป็นไฟต่ำให้แบบอัตโนมัติ

หลังจากที่ขับมาจนถึงเขาใหญ่ และขับเที่ยวในนั้นอยู่พักใหญ่ จนได้ระยะทางประมาณ 358 กิโลเมตร กดไปดูค่า AVG อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 23.7 กม./ล. และเมื่อเติมน้ำมันกลับเข้าไปจนเต็มถัง กดเครื่องคิดเลขออกมาได้ 23.01 กม./ล. หากเทียบกับการใช้งานในเมือง ตัวเลขออกมาใกล้เคียงกันเลยครับ แต่ในเมืองจะประหยัดกว่าเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นเพราะว่าการขับในเมืองเราไม่ต้องใช้รอบเครื่องยนต์สูงบ่อย ไม่ต้องเร่งแซงบ่อย จึงขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเยอะกว่า ส่งผลให้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในเมือง ออกมาดีกว่าเล็กน้อย

สรุปโดยรวมแล้ว ถือว่า Honda City e:HEV เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันใช้ได้เลยครับ ประหยัดจริง ๆ ไม่ได้มโน แม้ตัวเลขที่ได้จะเฉลี่ยออกมาแล้วอยู่ที่ 23-24 กม./ล. น้อยกว่าที่เคลมไว้ใน ECO Sticker แต่ตัวเลขที่ได้นั้นก็ออกมาสวย ประหยัดแบบไม่ต้องขับเกร็งเท้าเลยครับ อีกทั้งยังมีระบบความปลอดภัยมาให้แบบจัดเต็ม ทั้งระบบ Honda SENSING และ ระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้แบบครบครัน เช่น จอเครื่องเล่นทัชสกรีนขนาดใหญ่ 8 นิ้ว ที่รองรับ Apple CarPlay เปิดแผนที่นำทาง Google Map ได้ และยังมีฟังก์ชันเจ๋งๆอย่างระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท เรียกได้ว่าออปชันที่ให้มา จัดเต็ม คุ้มเกินคลาสจริงๆครับ หากใครดูคลิปนี้แล้วสนใจอยากทดลองขับ สามารถเข้าไปที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศได้เลยนะครับ


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ